ชนิดของรอยแผลเป็นและการรักษา
รอยแผลเป็น มีหลายชนิดและแต่ละชนิดมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป แต่การรักษาที่เหมาะสมนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวเชาญด้านผิวหนัง
1. รอยดำ หรือ รอยแผลเป็น ที่เกิดจากสิว เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากเกินไป ไม่ได้เกิดจากความเสียหายของเนื้อเยื่อผิวหนัง ดังนั้นจึงไม่ใช่ รอยแผลเป็น ที่รุนแรง หากไม่รักษา ก็จะจางหายไปเองในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
การรักษา สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาทา ทำทรีทเมนต์ หรือทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้รอยดำจางหายไปเอง
2. แผลเป็นแท้ๆ เกิดจากการบาดเจ็บที่รุนแรงในชั้นหนังแท้ ส่งผลให้คอลลาเจนถูกทำลาย จากนั้นร่างกายก็จะทำการซ่อมแซมตามกระบวนการธรรมชาติ และจะเกิดเป็น รอยแผลเป็นตามมา ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ
2.1 แผลเป็นปกติ เป็นรอยแผลที่ยังทิ้งร่องรอยอย่างชัดเจนแม้แผลจะหายดีแล้วก็ตาม ซึ่งอาจจะมีสีซีด หรือเข้มกว่าผิวหนังปกติรอบๆรอยแผล
2.2 แผลเป็นนูน เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อเพื่อซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป โดยจะมีทั้งรอยแผลที่เนื้อเยื่อสร้างขึ้นมานูนใหญ่กว่าปกติ แต่ไม่ขยายออกนอกรอยเดิม และ รอยแผลเป็นแบบ คีลอยด์ ที่นอกจากจะนูนใหญ่มากกว่าปกติแล้วยังขยายลุกลามออกจากรอยแผลเดิมด้วย ส่วนใหญ่มักจะเกิดบริเวณใบหู คาง หน้าอก หัวไหล่ มักจะเกิดในผู้ที่ประวัติครอบครัวมีภาวะนี้ คีลอยด์จัดเป็นเนื้องอกธรรมดา ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด)
การรักษา อาจใช้วิธีการฉีดยาสำหรับรักษาคีลอยด์ หรือนวัตกรรมอื่นๆที่สามารถรักษาได้ตามคลินิกผิวหนัง
3. รอยแผลเป็นหลุม เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลาย แต่ร่างกายซ่อมแซมไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดพังผืดในชั้นผิวดึงรั้งใหเกิดการยุบตัวลงมา จึงเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นหลุมขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดที่ใบหน้า และที่พบมากสุดก็คือรอยแผลจากสิวนั่นเอง
การรักษา นิยมใช้ เลเซอร์ยิง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวหนังเรียบเนียนกระชับมากขึ้น แผลเป็นและหลุมสิวตื้นขึ้น
No comments:
Post a Comment