Thursday, June 11, 2015

การเป็นโรคผิวหนังอักเสบนั้นหลายคนอาจยังสับสนว่าแท้จริงแล้ว

การแสดงอาการของโรคผิวหนังอักเสบที่ควรรู้
            การเป็นโรคผิวหนังอักเสบนั้นหลายคนอาจยังสับสนว่าแท้จริงแล้วโรคผิวหนังอักเสบมีลักษณะอาการอย่างไรกันแน่เพราะโดยปกติการเกิดผื่นแดงปุ่มคันหรือแม้แต่ผดผื่นก็เป็นส่วนหนึ่งของโรคผิวหนังอักเสบใช่หรือไม่ดังนั้นวันนี้เราจะไปทำความรู้จักโรคผิวหนังอักเสบและการแสดงอาการที่ควรรู้ให้มากขึ้นเพื่อการรักษาที่ถูกต้องและตรงกับลักษณะของอาการ
            สำหรับการเกิดโรคผิวหนังอักเสบนั้นเกิดจากการติดเชื้อที่ระบบผิวหนังซึ่งเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคมี 3 กลุ่มใหญ่นั่นคือเชื่อราเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสดังนั้นลักษณะอาการของโรคผิวหนังที่ติดเชื้อแต่ละชนิดจึงมีความแตกต่างกันโดยสามารถแจกแจงได้ดังนี้
-       ลักษณะอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราจะมีลักษณะที่หลากหลายทั้งแผล
พุพองรูขุมขนอักเสบไฟลามทุ่งซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีผื่นแดงจัดรามอย่างรวดเร็วเจ็บและออกร้อน
-       ลักษณะอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้แก่กลากเกลื้อนโดย
ลักษณะทั่วไปจะมีผื่นที่เป็นตุ่มแดงในบริเวณต่างมีขอบนูนแดงมีขุยและคัน
-       ลักษณะอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อไวรัสได้แก่เริมงูสวัดหูดโดยส่วน
ใหญ่จะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนขึ้นมาในบางจุดที่มีตุ่มน้ำพองใสจะเจ็บและแสบมาก


            เหล่านี้คือการแสดงอาการของโรคผิวหนังอักเสบที่ควรรู้ซึ่งการเรียนรู้ถึงลักษณะอาการต่างที่เกิดขึ้นมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องของการรักษาที่ถูกต้องและถูกวิธีช่วยให้โรคผิวหนังอักเสบไม่ลุกลามและหายขาดเร็วมากยิ่งขึ้น...

การฉีด Sclerosing Agent คืออะไร เหมือนหรือต่างจากการฉีดน้ำเกลืออย่างไร?

การฉีด Sclerosing Agent เหมาะกับการรักษาเส้นเลือดขอดแบบไหน?
การฉีด Sclerosing Agent คืออะไร เหมือนหรือต่างจากการฉีดน้ำเกลืออย่างไร?
การฉีด Sclerosing Agent เป็นการรักษาเส้นเลือดขอดวิธีหนึ่ง มีลักษณะการฉีดจะเหมือนกับการฉีดน้ำเกลือ แต่เป็นสารที่มีประสิทธิภาพมากกว่า จะใช้ในกรณีที่ฉีดน้ำเกลือแล้วไม่ได้ผล เหมาะกับการฉีดเส้นเลือดขอดที่มีขนาดใหญ่ส่วนใหญ่แพทย์จะนิยมฉีดสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเส้นเลือดขอด (sclerosing agent เช่น sodium tetradecyl) เข้าไปในหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดนั้นฝ่อแล้วยุบลงนั่นเอง
สำหรับหลักการที่แพทย์ใช้ในการรักษาโรคเส้นเลือดขอดด้วยวิธีนี้ คือการรักษาเส้นเลือดขอดด้วยวิธี Sclerosing Agent จะทำให้เส้นเลือดขอดหายโดยการที่เราฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือดโดยตรงนั้น ทำให้เกิดการอักเสบและกัดกร่อนที่ผนังหลอดเลือดจึงทำให้เส้นเลือดขอดบางเส้นหายไปเลย และบางเส้นมีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ภายในเวลา 2- 4 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังมีที่ใช้หลักการเดียวกับการรักษาSclerosing Agentคือการรักษาด้วย Radiofrequency โดยใช้สาย Fiberoptic เข้าไปในเส้นเลือดที่มีปัญหาและใช้พลังงานของ Radiofrequency เข้าไปทำลายเส้นเลือดเหล่านั้น สำหรับการรักษาทั้ง 2 วิธีใช้หลักการเดียวกันในการรักษาโดยการทำลายเส้นเลือดฝอยที่มีปัญหา แต่ต่างกันที่ Sclerosing Agent เป็นการฉีดยา เช่น Sodium Tetradecyl sulfate, Hypertonic saline เข้าไปทำลายส่วนการรักษาด้วย Radiofrequency เป็นหลักการเดียวกับเลเซอร์ โดยใช้พลังงานของ Radiofrequency เข้าไปทำลาย
เมื่อการรักษาด้วยการฉีดน้ำเกลือไม่หาย การฉีด Sclerosing Agent จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาเส้นเลือดขอด และการฉีดSclerosing Agent เหมาะกับการรักษาเส้นเลือดขอดที่มีขนาดใหญ่

หากถามว่าคุณมีรอยแผลเป็นไหม เชื่อว่าทุกคนต้องตอบว่ามีเหมือนกันแน่นอน

3 ประเภทของรอยแผลเป็นที่ควรรู้จัก
หากถามว่าคุณมีรอยแผลเป็นไหม เชื่อว่าทุกคนต้องตอบว่ามีเหมือนกันแน่นอน เพียงแต่อาจจะแตกต่างที่ตำแหน่ง และสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งคุณรู้หรือไม่ว่ารอยแผลเป็นมีการแบ่งแยกประเภทออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะของรอยแผลเป็น
รอยดำ : เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากเกินไป แต่เนื้อเยื่อผิวหนังไม่ได้รับความเสียหาย ส่วนใหญ่มักเป็นรอยที่เกิดขึ้นหลังสิวหาย หรือแผลหาย
วิธีการรักษา รอยดำสามารถจางหายได้เองภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน แต่ถ้าเพื่อความแน่ใจสามารถใช้ยาทำทรีทเมนต์เพื่อลดเม็ดสี ทำเลเซอร์กลุ่ม Q switched ND YAG (RM Laser) หรือการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้รอยดำจางได้เร็วขึ้น
            รอยแผลเป็นแท้ๆ : เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการบาดเจ็บที่รุนแรงในชั้นผิวแท้ ทำให้คอลลาเจนได้รับความเสียหาย ร่างกายจึงต้องซ่อมแซมผิวบริเวณดังกล่าว มีแบ่งรอยแผลเป็นประเภทนี้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
-               แผลเป็นปกติ ที่เมื่อแผลหายสนิทจะยังคงทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น ซึ่งรอยดังกล่าวอาจมีสีซีดหรือสีเข้มกว่าผิวหนังปกติ
-               แผลเป็นนูน เกิดจากร่างกายสร้างเนื้อเยื่อออกมาซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป มีทั้งรอยแผลเป็นแบบHypertrophic Scar เนื้อเยื่อที่ถูกสร้างขึ้นจะนูนใหญ่กว่าปกติ แต่ไม่ขยายออกนอกรอยแผลเดิม และแบบKeloid ที่เนื้อเยื่อจะนูนใหญ่และขยายลุกลามออกไปจากรอยแผลเดิม อาจเกิดการดึงรั้งได้ มักเกิดในบริเวณใบหู คาง หน้าอก หัวไหล่ เป็นต้น
วิธีการรักษา สามารถใช้วิธีการฉีดยา หรือนวัตกรรมอื่นๆ ในวงการรักษาผิวหนัง ซึ่งจะช่วยทำให้ดูเรียบเนียนขึ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของรอยแผลเป็นด้วย

            รอยแผลเป็นหลุม : เกิดจากเนื้อเยื่อผิวถูกทำลาย ได้รับการซ่อมแซมที่ไม่เพียงพอ หรือเกิดพังผืดในชั้นผิวดึงรั้งทำให้เกิดการยุบตัวลง ส่วนใหญ่มักเป็นรอยแผลเป็นจากสิว
            วิธีการรักษา ใช้เลเซอร์ทำให้เกิดความร้อนที่ใต้ผิวหนังชั้นลึกเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน กระชับมากขึ้น รอยแผลเป็นหลุมดูตื้นขึ้น ริ้วรอย และจุดด่างดำจางลง
รอยแผลเป็นของคุณเป็นแบบไหน
แล้วได้ทำการรักษาเพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนดังเดิมแล้วหรือยังคะ

ถ้ารอยแผลเป็นที่อยู่บนร่างกายของคุณมีลักษณะนูน

รู้จักรอยแผลเป็นประเภท Keloid
            ถ้ารอยแผลเป็นที่อยู่บนร่างกายของคุณมีลักษณะนูน เจ็บ และคัน แสดงเป็นรอยแผลเป็นชนิด Keloid ซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผล โดยผิวหนังมีการสร้างเนื้อเยื่อซ่อมแซมมากเกินไปจนทำให้เกิดการขยายตัวกว้างมากกว่ารอยแผลเป็นปกติ นอกจากนี้พันธุกรรมยังมีส่วนที่ทำให้เกิดรอยโรคได้
            รอยแผลเป็นชนิด Keloid ลักษณะแผลจะนูน แข็ง หรือหยุ่นคล้ายยาง ผิวมัน และมีสีแดงเนื่องจากมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้อาจมีอาการเจ็บ คัน ก้อนเนื้อของรอยแผลเป็นจะค่อยๆ โตขึ้น หรือคงที่แต่มีขนาดใหญ่กว่าแผลเดิม สามารถพบรอยแผลเป็นชนิดนี้ได้ทั่วร่างกาย แต่ส่วนมากพบในบริเวณผิวหนังที่ตึงตัว เช่น หลัง ไหล่ แขน ขา คอ หน้าอก และหลังหู

สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นประเภท Keloid
-               แผลจากสิว
-               แผลจากการเจาะหู
-               แผลปลูกฝี ฉีดวัคซีน
-               แผลผ่าตัดต่างๆ
-               แผลผ่าคลอด
-               แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
-               แผลจากอุบัติเหตุ
-               แผลจากรอยสัก

วิธีการรักษารอยแผลเป็นประเภท Keloid
-               ในกรณีที่รอยแผลเป็นประเภท Keloid มีเพียงเล็กน้อย สามารถใช้ยาแก้แผลเป็น เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาที่มีส่วนระกอบของวิตามิน หรือ A
-               ใช้แผ่นปิดเจลซิลิโคนปิดบริเวณรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นใหม่ๆ เพื่อช่วยลดการขยายตัวของแผล
-               ฉีดยาสเตียรอยด์ที่บริเวณรอยแผลเป็น วิธีนี้จะช่วยทำให้แผลยุบลง แต่ต้องใช้การรักษาด้วยการฉีดหลายครั้งกว่าที่รอยแผลเป็นจะยุบและเรียบ
-               การผ่าตัด ด้วยการผ่าตัดเอาแผลเก่าออกแล้วเย็บแผลใหม่อีกครั้ง วิธีนี้สามารถใช้ได้กับรอยแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น และต้องเป็นแผลที่สมบูรณ์เต็มที่ ไม่ใช่แผลที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่
รู้จักรอยแผลเป็นประเภท Keloid กันไปแล้วนะคะ
แล้วแผลบนร่างกายของคุณใช่รอยแผลเป็นชนิดนี้รึเปล่าคะ

สำหรับใครที่ผิวเกิดแตกลายไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของร่างกายก็แล้วแต่

วิธีรักษาผิวแตกลายด้วยตัวเอง

สำหรับใครที่ผิวเกิดแตกลายไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของร่างกายก็แล้วแต่ คุณจะต้องรู้สึกกังวลใจเป็นแน่ โดยเฉพาะถ้าต้องใส่ชุดว่ายน้ำถึงจะมีหุ่นดีก็คงแอบรู้สึกไม่มั่นใจตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่เรามาดูวิธีรักษาผิวแตกลายด้วยตัวเองกันดีกว่าค่ะ

สครับผิว
การสครับผิวเป็นประจำจะสามารถช่วยลดปัญหาผิวแตกลายได้เป็นอย่างดีสำหรับวิธีการก็คือให้คุณใช้น้ำตาล น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำมันมะพร้าว มาผสมเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาขัดผิวบริเวณที่แตกลายเพียงเบาๆ ทำเป็นประจำหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยแก้ปัญหาผิวแตกลายให้กับคุณได้ค่ะ 

ออกกำลังกาย
จัดได้ว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์หลายอย่างร่วมทั้งช่วยแก้ปัญหาการเกิดผิวแตกลายได้เป็นอย่างดี เพราะในขณะที่เราออกกำลังกายร่างกายจะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่และระบบภายในทำงานได้เป็นปกติ จึงช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนภายในร่างกาย ทำให้ปัญหารอยแตกลายค่อยๆ หายไป

ใช้ครีมบำรุงผิว
เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว เมื่อผิวชุ่มชื่นจะมีความยืดหยุ่นดี จึงช่วยลดปัญหาการแตกลายอย่างได้ผล

ควบคุมอาหาร
เพราะการที่เรามีน้ำหนักตัวขึ้นเร็วเกินไปก็มีผลต่อผิว แต่การลดน้ำหนักลงอย่างฮวบฮาบก็ทำให้เกิดปัญหาผิวแตกลายเช่นเดียวกัน ดังนั้นควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และนอกจากควบคุมแล้วควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบหลัก 5 หมู่กันด้วยนะคะ

คราวนี้ใครที่กำลังมีปัญหาผิวแตกลายกันอยู่ ก็อย่าปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นกันนะคะ แล้วผิวที่แตกลายของคุณก็จะค่อยๆ หายไป

ผิวแตกลาย มักเกิดขึ้นได้ง่ายที่บริเวณ ต้นขา สะโพก บั้นท้าย หน้าท้อง น่อง และทรวงอก

เคล็ดลับป้องกันผิวแตกลาย
ผิวแตกลาย มักเกิดขึ้นได้ง่ายที่บริเวณ ต้นขา สะโพก บั้นท้าย หน้าท้อง น่อง และทรวงอก โดยเริ่มต้นจะเป็นริ้วจางๆ สีออกแดงจากนั้นก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นริ้วสีขาว เมื่อใช้มือสัมผัสจะรู้สึกขรุขระเป็นคลื่น สำหรับผู้ที่มีโอกาสผิวแตกลายได้ง่ายก็อย่างเช่น  คุณแม่ตั้งครรภ์ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผิวเกิดการยืดและหดตัวเร็วเกินไป แต่เราก็สามารถป้องกันปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ เพียงแค่คุณปฏิบัติตัวดังนี้ค่ะ

1. ใช้ครีมบำรุงผิว
เพราะครีมบำรุงจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้แห้งหยาบกร้าน เมื่อผิวชุ่มชื่นก็จะช่วยป้องกันปัญหาผิวแตกลายได้เป็นอย่างดี  โดยให้เลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยเจอไรเซอร์ทาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอผิวก็จะชุ่มชื้น แข็งแรงขึ้นและมีความยืดหยุ่นดี ที่สำคัญควรเน้นทาบริเวณที่มีโอกาสแตกลายได้ง่ายๆ เป็นพิเศษ

2. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
โดยเน้นรับประทานอาหารที่มีสารช่วยบำรุงผิวพรรณอย่างเช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินดี และโปรตีน ซึ่งจะพบได้มากในผักและผลไม้ จะเป็นสารอาหารที่ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงมีสุขภาพดีและป้องกันปัญหาผิวแตกลาย

3. ดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำหรืออย่างน้อยวันละ 7-8 แก้ว น้ำจะช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นและไม่แห้งหยาบกร้านได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ถ้าคุณดื่มเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอยังเป็นวิธีช่วยบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอกทำให้ผิวของคุณดูอ่อนกว่าวัยได้อีกด้วย

ใส่ใจดูแลผิวตามที่กล่าวมาปัญหาผิวแตกลายก็จะไม่เกิดขึ้นกับผิวคุณอย่างแน่นอน คราวนี้ก็สามารถอวดผิวสวยกันได้อย่างสบายแล้วค่ะ 

แนะนำว่าควรอ่าน "4 เกร็ดน่ารู้ที่ควรรู้ก่อนใช้ครีมกำจัดขน" ก่อน

4 เกร็ดน่ารู้ที่ควรรู้ก่อนใช้ครีมกำจัดขน
            แขน ขา รักแร้ เหนือริมฝีปาก แนวบิกินี่ เป็นบริเวณที่มีขน ซึ่งจะมีขนมาก – น้อย หรือมีสีเข้มขนานไหนขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ซึ่งถ้ามีขนมากเกินไปก็อาจทำให้ใครหลายคนสูญเสียความมั่นใจได้ จนอาจต้องหันไปใช้ครีมกำจัดขนมาช่วยจัดการขนต่างๆ เหล่านี้ แต่ก่อนที่จะลงมือใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แนะนำว่าควรอ่าน "4 เกร็ดน่ารู้ที่ควรรู้ก่อนใช้ครีมกำจัดขน" ก่อน
เกร็ดน่ารู้เรื่องที่ 1 การกำจัดขนในตอนเช้า
            การนอนหลับถือเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากตื่นและทำกิจวัตรประจำวันผ่านไป 20 นาที ร่างกายจะกลับมาสดใส ผิวพรรณแน่นตึง ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเหมาะที่คุณจะใช้จัดการขนให้เกลี้ยงด้วยการใช้ครีมกำจัดขน เพื่อเป็นการเริ่มต้นวันที่ดี
เกร็ดน่ารู้เรื่องที่ 2 : น้ำ และครีมบำรุงผิว
เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผิว คุณควรใช้น้ำล้างผิวบริเวณที่ต้องการกำจัดขนให้สะอาดเป็นอันดับแรก เพื่อทำให้ขนนุ่ม และหลุดออกได้ง่าย
เกร็ดน่ารู้เรื่องที่ 3 : ไม่กำจัดขนก่อนลงว่ายน้ำ
            ไม่ควรกำจัดขนในวันที่คุณที่จะไปว่ายน้ำ เพราะคลอรีนในสระว่ายน้ำ และแอลกอฮอล์ที่อยู่ในครีมกันแดดจะไปกัดผิวบริเวณที่ผ่านการกำจัดขนได้ ดังนั้นถ้าต้องการกำจัดขนควรทำก่อนวันที่จะไปว่ายน้ำดีที่สุด
เกร็ดน่ารู้เรื่องที่ 4 : ครีมบำรุงผิว
ทุกครั้งหลังจากล้างครีมกำจัดขนออกจนหมดแล้ว ควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อช่วยคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว หากบริเวณที่กำจัดขนเป็นรักแร้ให้ใช้แป้งเด็ก
ลองนำ 4 เกร็ดน่ารู้ที่นำมาฝากไปใช้กันนะคะ
เพื่อทำให้ครีมกำจัดขนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หลังจากใช้ครีมกำจัดขนช่วยจัดการขนที่ขึ้นบริเวณต่างๆ ของร่างกาย

2 วิธีดูแลผิวหลังใช้ครีมกำจัดขน
หลังจากใช้ครีมกำจัดขนช่วยจัดการขนที่ขึ้นบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา รักแร้ เหนือริมฝีปาก แนวบิกินี่ เป็นต้น ให้หลุดออกไปจนหมดแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณจะต้องบำรุงผิวพรรณ เพื่อคืนความชุ่มชื้น และเรียบเนียนให้แก่ผิวแล้วค่ะ ซึ่งในวันนี้มี "2 วิธีดูแลผิวหลังใช้ครีมกำจัดขน" มาฝากด้วยค่ะ
วิธีดูแลผิวหลังใช้ครีมกำจัดขน
            ทาโลชั่น : หลังจากใช้ครีมกำจัดขนถอนรากถอนโคนขนจนออกไปหมดแล้ว คุณควรรีบคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวทันที โดยทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดAlphahydroxy Acid หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า AHA เป็นสารที่สกัดมาจากผลไม้ ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นให้เกิดเซลล์ใหม่ ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังช่วยลดจำนวนขนที่ติดอยู่ใต้ผิวหนังได้ ซึ่งการทาโลชั่นที่มีสาร AHA ไม่ใช่ทาแค่เฉพาะหลังจากใช้ครีมกำจัดขนเท่านั้น แต่ต้องใช้เป็นประจำทุกเช้า – เย็น ในบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ในช่วงแรกที่เริ่มต้นใช้โลชั่น AHA ควรใช้วันเว้นวันจนกว่าจะแน่ใจว่าคุณไม่แพ้สารดังกล่าว เพราะสาร AHA สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเปียกชื้น
            ขี้ผึ้งทาผิว : หลังจากทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของ AHA จนเนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิวไปหมดแล้ว คุณยังต้องดูแลผิวเพิ่มเติมอีก ด้วยการใช้ขี้ผึ้งทาผิวประเภท Calming Balm ทาลงไป เพื่อทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวนุ่ม ยืดหยุ่นดี และช่วยลดปัญหาขนคุด
เมื่อขนหลุดออกไปจนหมดแล้ว
อย่าลืมคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วย เพื่อที่ผิวของคุณจะได้สวย เนียน นุ่ม

Tuesday, June 9, 2015

หลายคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาขนคุดต่างพากันหนักใจ

ถอนขนคุดด้วยแหนบทำอย่างไร
            หลายคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาขนคุดต่างพากันหนักใจเหลือเกินว่าจะจัดการกับขนคุดอย่างไรดีให้กลับมามีผิวสวยเรียบเนียนอีกครั้งเพราะขนคุดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณรักแร้บริเวณต้นแขนต้นขาด้านนอกรวมทั้งใบหน้าก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันและเมื่อเกิดขึ้นแล้วหากโชคร้ายเกิดอาการอักเสบและรอยแดงยิ่งทำให้การกำจัดยากมากขึ้นไปอีก
สำหรับการจัดการกับขนคุดนั้นมีหลายวิธีแต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันซึ่งวิธีที่ถือว่าเป็นวิธีพื้นฐานและหลายคนนิยมใช้จัดการกับขนคุดนั่นคือการถอนขนคุดด้วยแหนบด้วยรูปแบบและขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากทำให้หลายคนเลือกใช้เมื่อพบว่ามีขนคุดขึ้นตุ่มนูนโดยขั้นตอนในการถนขนคุดด้วนแหนบนั้นสามารถทำได้ดังนี้
1.    ใช้แอลกอฮอล์เช็ดที่ปลายแหนบเพื่อป้องกันเชื้อโรคและการติดเชื้อ
2.    จากนั้นบีบตุ่มขนคุดให้นูนขึ้นมาแล้วใช้แหนบสะกิดที่ปลายตุ่มเพื่อให้หัวตุ่มเปิดออก
3.    ใช้แหนบดึงขนคุดออกมาเท่านี้ก็เรียบร้อย
ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะง่ายและไม่ยุ่งยากแต่ข้อเสียของวิธีการนี้คือสามารถกำจัดได้
เฉพาะขนคุดที่มีตุ่มนูนชัดเจนเท่านั้นหากเป็นตุ่มที่มีขนคุดฝังลึกอาจต้องใช้เวลาในการสะกิดและถอนออกมากกว่า 1 ครั้งและหากไม่สามารถถอนออกได้เมื่อสะกิดไปแล้วอาจทำให้เกิดอาการอักเสบได้อีกด้วยเพราะฉะนั้นใครที่จะเลือกใช้วิธีการนี้ในการจัดการขนคุดก็สามารถทำได้แต่อาจต้องดูแลในเรื่องของความสะอาดให้มากขึ้นเท่านั้น...

สำหรับใครที่เป็นขนคุดจะทราบดีว่าไม่ว่าบริเวณไหนก็ตาม

การสครับผิวสามารถกำจัดขนคุดได้หรือไม่
สำหรับใครที่เป็นขนคุดจะทราบดีว่าไม่ว่าบริเวณไหนก็ตามที่เป็นขนคุดหากเป็นใต้วงแขนอาจไม่ส่งผลกระทบมากนักในเรื่องของความสวยความงามแต่ถ้าเป็นบริเวณอื่นอาจส่งผลกระทบมากหน่อยที่สำคัญนอกจากผิวพรรณจะไม่เรียบเนียนแล้วในบางคนหากมีอาการอักเสบร่วมด้วยทำให้มีอาการคันและมีรอยแดงรอบรูขุมขน
ปัจจุบันหลายคนเลือกที่จะใช้วิธีการสครับผิวเพื่อกำจัดขนคุดซึ่งวิธีการนี้ยังมีหลายคนสงสัยว่าสามารถกำจัดขนคุดได้จริงหรือไม่ขอตอบให้ชัดเจนตรงนี้เลยว่าการสครับผิวนั้นสามารถกำจัดขนคุดได้จริงช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นถึงแม้ในบางคนจะไม่สามารถกำจัดขนคุดออกไปได้ทั้งหมดแต่การสครับผิวเป็นประจำจะช่วยให้ขนคุดหลุดออกมาได้ซึ่งการสครับผิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการใช้เกลือสครับผิวเพราะช่วยขัดผิวและขัดให้ขนคุดหลุดออกได้ดีที่สุดส่วนวิธีที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับผงจันทร์เทศและน้ำผึ้งสูตรนี้นอกจากจะสครับให้ขนคุดหลุดออกได้ดีแล้วยังช่วยลดอาการอักเสบและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวอีกด้วย
เพราะฉะนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องขนคุดและยังไม่ทราบว่าจะจัดการอย่างไรลองนำเอาวิธีการสครับผิวที่เรานำมาฝากนี้ไปใช้ดูรับประกันว่าอีกไม่นานผิวสวยของคุณจะเรียบเนียนขึ้นและห่างไกลจากการเป็นขนคุดอย่างแน่นอน...