Friday, December 16, 2016

ด้วยเหตุผลบางประการของผู้ที่มีรอยสักต้องการลบรอยสักออก

ความรู้  4  วิธีการลบรอยสักอย่างได้ผล

ด้วยเหตุผลบางประการของผู้ที่มีรอยสักต้องการลบรอยสักออก เช่น ไม่ชอบลวดลาย หรือการสมัครงานกำหนดให้ผู้สนใจสมัครห้ามมีรอยสักในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นต้น จึงส่งผลทำให้ผู้มีรอยสักจำเป็นต้องลบรอยสักออก ดังนั้นจึงมี วิธีในการลบรอยสักดังนี้

1.  การผ่าตัดเอารอยสักออก (Surgical Excision)
เป็นการลบรอยสักที่เหมาะกับรอยสักที่มีขนาดเล็ก เนื่องจากจะทำให้แผลมีขนาดเล็กตามไปด้วย แต่ถ้าผู้มีรอยสักขนาดใหญ่ต้องการลบรอยสักด้วยวิธีนี้ อาจต้องใช้ตัวขยายเนื้อ (Tissue Expansion)เข้ามาช่วยด้วย

2.  การกรอผิว (Dermabrasion)
หากรอยสัก ๆ โดยช่างมืออาชีพ สามารถลบรอยสักได้ด้วยการกรอผิวเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าหากว่าสีหมึกอยู่ไม่ลึกมาก การกรอผิวแค่ 2 ครั้ง ก็สามารถทำให้รอยสักหายไปได้ โดยควรเว้นระยะ 3 - 6 เดือน จึงกรอผิวครั้งที่ 2

3.  การลอกด้วยสารเคมี (Chemical Peling)
เป็นการลบรอยสักด้วยการใช้กรดบางชนิดหรือสาร Phenol เพื่อทำให้รอยแผลไฟไหม้ขึ้นที่บริเวณรอยสัก แต่ส่วนใหญ่การลบรอยสักด้วยวิธีนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อนได้สูง

4.  การลบด้วยเลเซอร์ (Laser Beam)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยมีเลเซอร์ 2 ประเภท คือ Q-Switchednd-Yag และ Q-Switched Ruby Laser แม้จะได้การลบรอยสักที่ได้ผลดีแต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังเป็นรอยริ้ว หรือเป็นรอยด่างขาวได้

วิธีลบรอยสักมีมากมายหลายวิธีดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลของแต่ละวิธีให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจรวมถึงควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นการแก้ไขที่ง่ายและสะดวกปลอดภัย

ความรู้เรื่องการลบรอยสักด้วยแสงเลเซอร์

ความสวยงามของรอยสักเป็นแฟชั่นที่ทันสมัยในช่วงวัยหนึ่งแต่เมื่อเวลานาน ๆ ไป รอยสักที่เคยเห็นสวยงามนั้นอาจไม่สวยงามอีกแล้ว เพราะบางทีรอยสักนั้นอาจเป็นอุปสรรคในการทำงาน หลายคนจึงต้องการลบรอยสัก  ซึ่งในปัจจุบันนี้มีวิธีลบรอยสักอยู่หลายวิธีด้วยกันแต่การใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับและนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

การลบรอยสักด้วยการใช้แสงเลเซอร์
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์นั้นจะอาศัยพลังงานจากแสงเลเซอร์ที่เข้าไปทำให้เม็ดสีของหมึกที่สักลงไปซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ให้แตกตัวกระจายออก แล้วอาศัยกลไกในการขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเพื่อกำจัดเอาเม็ดสีที่แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ นั้นออกจึงทำให้รอยสักจางลง  ในการทำเลเซอร์นั้นจะใช้ทำประมาณ 3 – 7 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสี   ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ทำในแต่ละครั้งจะพิจารณาถึงขนาดหรือบริเวณพื้นที่ของรอยสักด้วย  ถ้าหากว่าสักรูปเป็นบริเวณเล็ก ๆ อาจใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที ต่อครั้ง แต่ถ้าสักเป็นรูปใหญ่ ๆ เช่น  มังกรคาบแก้วก็ต้องใช้เวลาหลายนาที

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นการแก้ไขที่ง่ายและสะดวกปลอดภัย เพราะทำเพียงไม่กี่ครั้ง รอยสักที่ไม่ปรารถนาก็จะจางลง โดยที่ไม่เป็นแผลเป็น หากตัดสินใจที่จะลบรอยสักโดยตรง เพื่อให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจตามที่ต้องการก็ควรอยู่ในการดูแลของหมอจะเป็นการดีที่สุดเพราะการลบรอยสักออกจากร่างกายนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนกับการลบรอยลิปสติกออกจากริมฝีปาก

รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นนั้นมักจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวที่แตกต่างกัน

เทคนิค  5  วิธีในการดูแลแผลอย่างถูกต้องเพื่อลดรอยแผลเป็น

รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นนั้นมักจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวที่แตกต่างกัน  ถ้าหากรู้วิธีการจัดการดูแลแผลเป็นอย่างถูกต้องก็จะสามารถลดรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. ให้แผลหายใจให้มากที่สุดท่าที่จะเป็นไปได้ 
อย่าทำการพอกผิวที่เกิดบาดแผลด้วยครีมน้ำมัน หรือวิตามินอีแบบผง เพราะสารเหล่านี้สามารถที่จะก่อให้เกิดการอุดตันซึ่งจะเป็นอุปสรรคอย่างมากในกระบวนการรักษาตัวเองของเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ

2.  อย่าแช่ผิวบริเวณที่เป็นแผลในน้ำ
อย่าปล่อยให้แผลโดนน้ำเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากทำให้ประสิทธิภาพในการตกสะเก็ดลดน้อยลง

3.  ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่อ่อนโยน

4.  หลังจากทำความสะอาดแผล 
คลุมพื้นที่บาดแผลด้วยผ้าพันแผลที่อากาศสามารถไหลผ่านได้อย่างสะดวก

5. หลังจากเกิดบาดแผลช่วง 1 – 2 วัน
ใช้เจลครีมบำรุงผิวหรือเซรั่มที่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมในการช่วยกระตุ้นการรักษาผิวทาเพื่อบรรเทาอาการคันที่เกิดขึ้นกับแผล แต่ห้ามเกาบาดแผลโดยเด็ดขาด

การปฏิบัติตามวิธีการดูแลแผลเป็น ที่ได้แนะนำไปแล้วในตอนต้น เพื่อเป็นการลดรอยแผลเป็นแล้วก็ตามแต่โอกาสของผิวที่ถูกทำร้ายเสียหายจากปัจจัยอื่น ๆ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาแผลเป็นขึ้นได้ดังนั้นควรหมั่นดูแลแผลและผิวบริเวณรอบ ๆ แผลด้วยครีมบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพช่วยในการแก้ไข ลดเลือนปัญหาแผลเป็นให้ค่อยๆลดน้อยลงอย่างเป็นธรรมชาติ
เพื่อที่รอยแผลเป็นที่หลาย ๆ คนกังวลก็จะสามารถเลือนหายได้

การรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการเย็บแผลผ่าตัดนี้ สามารถทำได้หลายวิธี

เผยแนวทางการรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการเย็บแผลผ่าตัด


แผลที่เกิดจากการเย็บเนื่องจากมีการผ่าตัดใด ๆ สามารถป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนได้ โดยการใช้แผ่นปิดเพื่อกดทับหรือเจลปิดแผล เช่น ซิลิโคนเจล การรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการเย็บแผลผ่าตัดนี้ สามารถทำได้หลายวิธี 

วิธีการรักษาที่มีส่วนช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น และทำให้พื้นผิวของแผลดีขึ้น ได้แก่ การทายา การทำเลเซอร์ เป็นต้น ส่วนการรักษาโดยการผ่าตัดแผลเป็นนั้น ต้องคำนึงถึงโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำของแผลนูน เนื่องจากการผ่าตัดเป็นการทำให้เกิดแผลเย็บใหม่

หากไม่อยากมีแผลเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติคือเมื่อเป็นสิวอักเสบควรรีบรักษาให้เร็วที่สุดและไม่ควรแกะสิว ส่วนการรักษาแผลเป็นถลอก เมื่อเกิดแผลถลอก ควรได้รับการห้ามเลือดในเบื้องต้น และล้างทำความสะอาดแผลในเบื้องต้นด้วยน้ำสะอาดหรืออาจใช้สบู่ฟอก เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกออกจากบาดแผล

ผู้หญิงมักจะพบปัญหาแผลเป็นมากกว่าผู้ชาย และพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยกว่าในวัยอื่น ๆ นอกจากนี้คนผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนผิวขาว และผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นและมีประวัติของคนในครอบครัวมีแผลเป็นก็จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยมีประวัติ

แต่ทั้งนี้แล้วการรักษาแผลเป็นก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งอยู่ที่ลักษณะของแผล เช่น  ความรุนแรงของแผล ตำแหน่งของแผล และสาเหตุที่ทำให้เกิดแผล จึงทำให้การรักษาแผลเป็นอาจต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน และต้องรักษาหลายครั้ง รวมถึงต้องใช้เวลาในการรักษา

มื่อทำการรักษาแผลเป็นหลุมนี้แล้วควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดอย่างน้อยเป็นเวลา 1 สัปดาห์

ความรู้เรื่องการรักษาแผลเป็นหลุม 

แผลเป็นหลุมนี้เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายเสียหาย และไม่เกิดการซ่อมแซมที่เพียงพอ หรืออาจเกิดพังผืดในชั้นผิวหนังดึงรั้งให้ผิวเกิดการยุบตัว ทำให้สุดท้ายเกิดเป็นรอยแผลเป็นหลุมขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดที่ใบหน้าเมื่อเป็นแผลแล้วย่อมเป็นกังวลในการที่จะรักษาแผลเป็นในลักษณะนี้เพราะทำให้ขาดความมั่นใจ

สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลุมที่พบได้มากที่สุดคือรอยแผลจากสิวนั่นเอง  แผลเป็นที่เกิดจากสิวนั้นเป็นปัญหาที่พบบ่อยในช่วงวัยรุ่นและแม้แต่ในวัยทำงานก็พบได้เช่นกันเพราะเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยวิธีการที่นำมาใช้ในการรักษาและผลของการรักษาแผลเป็นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผล  ตำแหน่ง ความลึก และขนาดของแผล

การรักษา
ขั้นตอนการรักษานี้เป็นการรักษาด้วย Fractional Laser  การรักษาแผลเป็นหลุมด้วย Fractional Laser คนไข้ไม่ต้องเตรียมตัวมากนัก เพราะสามารถทำการรักษาได้เลย โดยในขั้นตอนแรกแพทย์จะทำความสะอาดผิวในตำแหน่งที่จะทำการรักษา จากนั้นจะทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที  แล้วจึงเริ่มทำการยิงเลเซอร์ ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 15-20 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณของรอยแผลเป็นหลุม ความรุนแรงของแผลเป็น และสภาพผิวหนังของคนไข้

การรักษาควรทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง โดยทิ้งระยะห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ ผลข้างเคียงหลังจากทำเลเซอร์อาจมีอาการบวมแดงของผิวหนัง และจะหายไปได้เองภายใน 48 ชั่วโมง อาจรู้สึกแสบร้อนผิวมากที่สุดในช่วง ชั่วโมงแรก ดังนั้น จึงไม่ควรล้างหน้าภายใน ชั่วโมงหลังการทำเลเซอร์ หลังจากนั้นสามารถล้างหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ

เมื่อทำการรักษาแผลเป็นหลุมนี้แล้วควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดอย่างน้อยเป็นเวลา สัปดาห์และในระหว่างวันก็ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าเสี่ยงแสงแดดจัดอย่างน้อยเป็นเวลา สัปดาห์ ควรทาครีมกันแดดร่วมกับครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสูง

การติดเชื้อที่ผิวหนังจนเกิดโรคผิวหนังอักเสบอยู่บ่อย ๆ เพราะเป็นธรรมชาติของไวรัส

ความรู้เรื่องโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อไวรัส

 ไวรัสเป็นเชื้อกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในทุกระบบ รวมไปถึงการติดเชื้อที่ผิวหนังจนเกิดโรคผิวหนังอักเสบอยู่บ่อย ๆ เพราะเป็นธรรมชาติของไวรัส ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับเชื้อแล้วจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตัวเชื้อเพื่อพยายามกำจัด และปกป้องตนเองไม่ให้เป็นโรค แต่ตัวเชื้อก็จะยังคงหลบซ่อนและอาศัยอยู่ในร่างกายเมื่อภูมิต้านทานต่ำลงก็จะเกิดอาการของโรคขึ้นมาได้โรคติดเชื้อผิวหนังจากเชื้อไวรัสได้แก่

เริม (Herpes Simplex)เชื้อเริมสามารถเป็นได้อยู่บ่อย ๆ ถ้าร่างกายอ่อนแอลง เช่น อดนอน ทำงานหนัก เครียด

งูสวัด (Herpes Zoster)เชื้อก่อโรคคือ Hepes Varicella Zoster คือเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส แต่มีลักษณะที่ต่างจากอีสุกอีใสคือ ผื่นจะขึ้นเป็นแนวตามแนวของเส้นประสาท มีไข้ และอ่อนเพลียร่วมด้วย หลายคนคงเคยได้ยินและมีคำถามว่าจริงหรือไม่ ที่เคยได้ยินว่า ถ้างูสวัดพันครบรอบแล้วจะเสียชีวิต ซึ่งก็อาจเป็นได้เพราะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยต้องต่ำมากจริง ๆ เชื้อถึงแพร่กระจายเร็ว
หูด (Wart)
หูดคือก้อนที่ผิวหนัง อาจจะผิวเรียบ หรือขรุขระก็ได้ มีสีขาว สีชมพู หรือน้ำตาล ที่จะเกิดขึ้นบริเวณใดก็ได้แต่มักพบบ่อยที่แขน  นิ้วมือ หรือขา เกิดจากเชื้อ Human Papilloma Vinus 

โรคผิวหนังอักเสบชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อ  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชนิดใด หลักการสำคัญในการป้องกันก็คือ หมั่นดูแลรักษาสุขอนามัยของผิวหนังให้สะอาดอยู่เสมอและที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ หากพบว่ามีแผลหรืออาการผิดปกติของผิวหนังควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที ไม่ควรปล่อยให้เชื้อลุกลามเนื่องจากจะทำให้การรักษายากขึ้นหรืออาจเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้

ปัจจัยการกำเริบในผู้ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินในแต่ละคนนั้นมักจะไม่เหมือนกัน

ความรู้เรื่องความเครียดที่ทำให้อาการผื่นของโรคสะเก็ดเงินกำเริบ


ปัจจัยการกำเริบในผู้ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินในแต่ละคนนั้นมักจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องศึกษาสังเกตว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการกำเริบที่เกิดขึ้นกับตัวเองโดยเฉพาะและพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านั้นที่ทำให้อาการของผื่นในโรคสะเก็ดเงิน  กำเริบ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุที่เห็นได้ชัดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1.  ความเครียดทางใจ
ความเครียดทางใจและอารมณ์แปรปรวนในผู้ป่วยด้วยโรคสะเก็ดเงินนี้ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกเป็นปมด้อย รู้สึกกลัวและกังวลว่าคนรอบข้างรังเกียจ อยากได้รับการยอมรับจากสังคม เพื่อน ครอบครัว และคนรัก จึงทำให้ความเครียดสะสมเกิดได้ง่าย และความเครียดนี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้การหลั่งสารต่าง ๆ ในสมองแปรปรวนและทำร้ายร่างกาย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อาการผื่นสะเก็ดเงินกำเริบขึ้นได้อย่างชัดเจน

2.  ความเครียดทางกาย
นอกจากความเครียดทางใจแล้ว ความเครียดทางกายก็ส่งผลให้เกิดอาการของโรคสะเก็ดเงินกำเริบได้เช่นกัน ความเครียดทางกายคือการที่ร่างกายมีความอ่อนแอสูง   เพราะร่างกายสะสมความเหนื่อยล้า ทำให้สมดุลต่าง ๆ ยิ่งทำงานแย่ลง เซลล์ผิวหนังแม้ว่าจะเป็นเซลล์ที่อยู่ภายนอกสุดของร่างกาย แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันกับสภาวะภายในร่างกาย เมื่อร่างกายสมดุลแปรปรวนและอ่อนแอจึงทำให้ผื่นกำเริบได้มากขึ้นนั่นเอง 

ดังนั้นความเครียดทั้งทางใจและทางกาย ตั้งแต่หงุดหงิดง่ายเครียดสะสมไปจนถึงอาการนอนไม่หลับร่างกายอ่อนเพลีย ล้วนทำให้เกิดการกำเริบของโรคสะเก็ดเงินการกำเริบของผื่นอาจเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน นอกจากการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เกิดจากความเครียดดังกล่าวแล้ว ยังมีพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพอื่น ๆที่ควรหลีกเลี่ยงด้วย  เช่น การสูบบุหรี่  ดื่มเหล้าเพื่อให้ร่างกายมีพื้นฐานสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงของการเสียสมดุลของร่างกายลงไป

Thursday, December 15, 2016

สำหรับการป้องกันโรคหูดหงอนไก่ เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วสามารถแบ่งได้เป็น

การป้องการโรคหูดหงอนไก่
            กันไว้ดีกว่าแก้” ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ วลีดังกล่าวเป็นคำพูดที่ซึ่งหากใครปฏิบัติตาม รับรองได้ว่าอุปสรรคในชีวิตท่านจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเลยครับเรื่องของโรคหูดหงอนไก่ก็เช่นกันครับ ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บแล้ว มันย่อมนำมาซึ่งความยากลำบาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มิหนำซ้ำท่านยังอาจต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาเป็นเงินจำนวนมากเลยก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อเรารู้จักพิษภัยของโรคชนิดนี้แล้วก็ไม่ควรเพิกเฉยกับมันจริงหรือไม่ท่านอย่าชะล่าใจว่ามันไม่มีทางเกิดกับตัวท่านเชียวนะครับ เพราะโรคชนิดนี้สามารถเป็นกันได้ในทุกเพศทุกวัย ดังนั้นการเรียนรู้วิธีป้องกันและปฏิบัติตาม จะถือเป็นการดีที่สุดครับ
          สำหรับการป้องกันโรคหูดหงอนไก่ เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วสามารถแบ่งได้เป็นสองวิธีใหญ่ๆครับ ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่มีวิธีใดที่จะสามารถป้องกันโรคชนิดนี้ได้ถึง 100% เต็มนะครับ แต่หากปฏิบัติตามแล้วโอกาสที่จะเกิดโรคชนิดนี้เป็นไปได้น้อยมากครับ
วิธีแรก คือการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ครับ ซึ่งวัคซีนป้องกันนี้เมื่อท่านฉีดนอกจากจะช่วยป้องกันโรคหูดหงอนไก่แล้ว มันยังป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้อีกด้วยครับ และมันจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากผู้ฉีดได้รับมันก่อนที่จะเป็นโรค เพราะการฉีดก่อนเป็นโรคนั้นจะช่วยป้องกันการเกิดโรคได้ถึง 99% เลยทีเดียวครับ
วิธีที่สอง การป้องกันโรคโดยการสวมถุงยางอนามัย และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายมากอีกวิธีหนึ่งครับ เนื่องจากโรคหูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการสวมถุงยางอนามัยจะเป็นการป้องกันโดยตรงและถูกจุด  ที่สำคัญท่านควรมีเพศสัมพันธ์แต่เฉพาะกับคู่รักของตัวเองนะครับ เพราะพฤติกรรมสำส่อนจะนำมาสู่โรคร้ายอีกมากมาย รวมถึงโรคหูดหงอนไก่ด้วยครับ

การที่จะบอกถึงวิธีการป้องกันโรคด่างขาวได้นั้น สิ่งที่ต้องรู้เป็นประการแรกคือ

ป้องกันโรคด่างขาวได้อย่างไร ควรพบแพทย์เมื่อไหร่
            การที่จะบอกถึงวิธีการป้องกันโรคด่างขาวได้นั้น สิ่งที่ต้องรู้เป็นประการแรกคือสาเหตุของการเกิดโรคนั่นเองครับสำหรับโรคด่างขาว เป็นโรคชนิดหนึ่งที่ทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของการเกิดโรคได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงความเห็นของแพทย์บางส่วนที่ออกมาพูดถึงทฤษฎีของการเกิดโรคชนิดนี้ โดยแพทย์ส่วนหนึ่งเห็นว่าโรคชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ เป็นเหตุให้เซลล์เม็ดสีบริเวณผิวหนังที่เกิดโรคถูกทำลาย จนเกิดเป็นรอยด่างขาวอย่างที่เห็นกัน นอกจากนี้ยังมีความเห็นบางส่วน เห็นว่าโรคด่างขาว เกิดจากสารที่มาจากกระบวนการสร้างสีเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดสี ทำให้เกิดรอยด่างขาวบนผิวหนัง และยังมีอีกส่วนหนึ่งมองว่าโรคชนิดนี้เกิดจากกลไกในการเกิดอนุมูลอิสระนั่นเอง
                แต่อย่างไรก็ดี ความเห็นเหล่านี้เป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่สามารถมีใครออกมายืนยันถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคด่างขาวได้ครับ  และนอกจากนี้ยังพบว่าโรคด่างขาวเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องพันธุกรรมอีกด้วย กล่าวคือ หากใครคนใดคนหนึ่งในตระกูลเป็นโรคชนิดนี้ โรคดังกล่าวจะมีโอกาสถ่ายทอดไปยังรุ่นต่างๆของครอบครัวได้อีกด้วย
                 

หากท่านเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากำลังเผชิญกับโรคขนคุด

การตรวจวินิจฉัยโรคขนกุด และ ระยะเวลาในการรักษา
                             หากท่านเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากำลังเผชิญกับโรคขนคุด ซึ่งสังเกตในเบื้องต้นโดยการดูความเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เมื่อพบว่าบริเวณผิวหนังที่เคยเรียบเนียนไม่เป็นตุ่มเป็นก้อน กลับเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม มีลักษณะสาก และมีตุ่มขึ้นเล็กๆคล้ายสิวจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีอาการคันในบริเวณผิวหนังส่วนนั้นด้วย ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคขนกุด แต่ท่านไม่แน่ใจว่าปัญหาบนผิวหนังดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด สิ่งที่ควรกระทำในขั้นต่อไปคือการเข้ารับการตรวจเพื่อหาโรค และหาวิธีการรักษาโรคโดยแพทย์ผิวหนังครับ
                             เมื่อท่านไปพบแพทย์ผิวหนัง สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำ ก่อนการรักษาคือการวินิจฉัยโรคครับ สำหรับขึ้นตอนการวินิจฉัยโรคขนกุดนี้สามารถจำแนกได้เป็น กรณีด้วยกัน
1. ในกรณีแรก เป็นกรณีที่แพทย์สามารถตรวจโรคดังกล่าวได้ โดยการดูอาการแค่เพียงภายนอกเท่านั้น เนื่องจากโรคขนกุดเป็นโรคที่มีลักษณะอาการภายนอกบ่งชี้เฉพาะอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับบางคนแล้ว เมื่อท่านไปพบแพทย์ เขาแค่เพียงสังเกตผิวหนังของท่าน เพียงแค่นี้ก็รู้ได้เลยว่าเป็นโรคขนกุด             
2. กรณีที่สอง เป็นกรณีที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการสังเกตอาการภายนอก เพราะลักษณะภายนอกนั้นไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้แพทย์เกิดข้อสงสัยว่าจะเป็นโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคขนกุดหรือไม่ เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือผื่น ในกรณีนี้การวินิจฉัยโรคอาจจำเป็นต้องอาศัยการตรวจโดยวิธีการใช้ห้องปฏิบัติการ เช่น การใช้ชิ้นเนื้อเพื่อตรวจเชิงพยาธิวิทยา หรือการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้รักษาครับ แต่กรณีหลังนี้เป็นไปได้น้อยมาก
                        ส่วนในเรื่องของระยะเวลาในการรักษาโรคขนคุดนั้น โดยปกติแล้วโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้และหายไปเองตามธรรมชาติ เมื่อผู้ที่เป็นโรคมีอายุมากขึ้น ซึ่งหากท่านปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าต้องใช้เวลาในการรักษาเท่าใดจึงจะหายไป แต่หากท่านใช้วิธีการรักษาโดยวิธีต่างๆ เช่น ทาครีมเพื่อสร้างความชุ่มชื้น หรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆในการดูแลผิว รวมถึงการเข้ารับการดูแลจากแพทย์ผิวหนังด้วยแล้ว หากท่านทำเช่นนี้ผลการรักษานั้นจะปรากฏชัดเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 สัปดาห์ หรือประมาณ 2-3 เดือนครับ มันอาจจะไม่หายไปเลย แต่อาการจะบรรเทาลงอย่างแน่นอน

วิธีการรักษาขอบตาดำคล้ำด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีการรักษาขอบตาดำคล้ำด้วยวิธีธรรมชาติ
สำหรับผู้ที่มีขอบตาดำคล้ำ มักทำให้รู้สึกไม่สดใส ไม่มีสง่าราศี วันนี้เรามีวิธีการรักษาอาการขอบตาคล้ำมาด้วยวิธีธรรมชาติมาแนะนำ
             สูตรที่ 1 ใช้ส่วนผสมดังนี้
มะขามเปียก + นม + น้ำผึ้ง                                                                                                          ส่วนผสม มะขามเปียก 1 กำมือ                                                                                           นมสด 2 ช้อนโต๊ะ                                                                                                               น้ำผึ้ง 1 ช้อน                                                                                                                    ผ้าข้าวบางขนาดพอเหมาะ
วิธีทำ คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณขอบตาที่ดำคล้ำ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก กรด AHA ในนมและกรดแลคติกจะช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
สูตรที่ 2 ถุงชาแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำ
วิธีทำ ใช้ถุงชาฝรั่งที่ชงแล้วที่ยังอุ่น ๆ บิดให้หมาดเล็กน้อย แล้วนำมาวางทับไว้บนเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาที่แพ้ง่ายหรือบวมง่าย หรือจะใช้แบบเย็นก็ได้เช่นกัน
              สูตรที่ 3 สูตรน้ำมัน
วิธีทำ ใช้นำมันละหุ่ง อัลมอนด์ มะพร้าว งา อโวคาโด น้ำมันจากแคปซูนวิตามินอี น้ำมันจากแคบซูนวิตามินเค น้ำผึ้ง หรือกลีเซอรีน นำมานวดรอบดวงตาเพื่อไล่ความดำคล้ำ ทำให้สดชื่นเพราะเป็นการผ่อนคลายคล้าย ๆ การทำสปา
            แต่ละวิธีข้างต้นเป็นการรักษาขอบตาดำคล้ำด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งวัสดุที่ใช้ก็เป็นวัสดุใกล้ตัวที่เหลือใช้ และสามารถหาได้ง่าย ราคาก็ไม่แพงมากนัก แถมเป็นมิตรกับผิวหน้าและผิวรอบดวงตา ซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบางต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ผู้อ่านชื่นชอบหรือสะดวกแบบไหนก็ลองทดลองดูตามสภาพผิวและความถนัด

Saturday, December 3, 2016

Skinception™ Rosacea Relief Serum เซรั่มรักษา Rosacea โรซาเซีย โรคหน้าแดง สิวหน้าแดง

Rosacea โรคหน้าแดง สิวหน้าแดง


เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ที่มีการอักเสบของผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน เชื่อว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือด เกิดจากการกระตุ้นของแสงแดดหรือเกิดจากไรที่ผิวหนังที่ชื่อ demodex นอกจากนี้ยังสามารถเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ได้ด้วย
Rosacea (โรซาเซีย) เป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อย มักจะเริ่มต้นด้วยการมีแนวโน้มที่ผิวหน้าจะแดงได้มากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ
รอยแดงสามารถแพร่กระจายบริเวณจมูกและแก้มกับหน้าผากและคาง แม้บริเวณหู หน้าอก และด้านหลังสามารถเป็นสีแดงตลอดเวลา
เป็นอาการที่เกิดได้บ่อย ๆ แต่มีผู้รู้จักและเข้าใจน้อย เป็นอาการผิดปกติของผิวหน้าและมีชาวอเมริกันผู้ที่เป็น rosacea อยู่ประมาณ 14 ล้านคน
เป็นอาการที่เรื้อรังแต่สามารถรักษาได้ พบได้บริเวณกลางใบหน้า และบ่อยครั้งที่มีลักษณะคล้ายสิวเห่อ แม้ว่า rosacea อาจเป็นได้ในทุกวัย แต่การเก็บข้อมูลบ่งชี้ว่ามักจะเริ่มเป็นหลังอายุ 30 ปีไปแล้ว โดยจะมีผิวหน้าแดงที่แก้ม จมูก คาง หน้าผาก และอาการจะเป็นได้มากขึ้นและยาวนานยิ่งขึ้นจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดฝอยได้ จากนั้นจะเหลือร่องรอยของสิวที่รักษายาก ในรายที่มีอาการรุนแรง โดยเฉพาะผู้ชาย จมูกจะพองบวมจากการที่เนื้อเยื่อสร้างมากเกินไป หลายคนมีอาการที่ดวงตาร่วมด้วย โดยจะรู้สึกระคายเคืองตา ตาแฉะ เส้นเลือดฝอยในตาแตก
แม้ว่า rosacea จะเกิดขึ้นได้กับประชากรทุกประเภท ผู้ที่มีผิวขาวจะมีแนวโน้มในการเกิดผิวหน้าแดงได้ง่ายกว่า อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ความรุนแรงของอาการจะน้อยกว่าผู้ชาย ยังมีหลักฐานว่า rosacea นั้นมีแนวโน้มว่าเกิดขึ้นได้กับสมาชิกในครอบครัว
ใน ขณะที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และไม่มีทางรักษา แต่อาการเหล่านั้นก็สามารถควบคุมได้ด้วยการทายาและการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ ชีวิต ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองเป็น rosacea ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเพื่อวินิจฉัยและหาวิธีการ รักษาที่เหมาะสม ก่อนที่อาการจะรุนแรงมากขึ้นแล้วสร้างปัญหาให้กับการดำเนินชีวิต)

Reduce the Pain & Redness of Rosacea and
Slow Premature Ageing in the Process!

บรรเทาจากสภาพปัญหานี้ที่ส่งผลต่อคนอเมริกันประมาณ 14-16 ล้าน ... ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นโรคนี้!
Skinception ™ Rosacea Relief Serum เป็นสูตรเฉพาะเพื่อปลอบประโลมผิวรอยแดง , prickling ที่มีผลต่อผู้ป่วย rosacea
ไม่เพียงแต่จะช่วยบรรเทาจากความเจ็บปวดและความลำบากที่มาพร้อมกับ rosacea ...
มันยังช่วยลดผลกระทบริ้วรอยก่อนวัยอันควรที่เกิดจากการอักเสบอย่างต่อเนื่อง!
  • ลดรอยแดงและการอักเสบ
  • บรรเทาความเจ็บปวดจาก Prickling heat
  • ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • รักษาเส้นเลือดฝอย ปรับการหมุนเวียนเลือด
... กับชุดการพิสูจน์ทางการแพทย์ของส่วนผสมที่ใช้งานรวมทั้งRenovage®ซึ่งจากการศึกษาแสดงสามารถลดอาการ rosacea ได้ถึง 90% ของผู้ป่วย!