Monday, July 25, 2016

หลีกเลี่ยงสาเหตุและปัจจัยทำให้โรคผื่นผิวหนังอักเสบกำเริบมากขึ้น

ความรู้เรื่องการรักษาโรคผื่นผิวหนังอักเสบให้ถูกวิธี
ความรู้เรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคผื่นผิวหนังอักเสบจะมีแนวทางการรักษาและปฏิบัติที่เป็นหลักการรักษาที่สำคัญประกอบด้วย
    
หลีกเลี่ยงสาเหตุและปัจจัยทำให้โรคผื่นผิวหนังอักเสบกำเริบมากขึ้น
ได้แก่  สบู่ ควรใช้สบู่อ่อน ๆ หรือถ้าหากเป็นไปได้ไม่ควรใช้สบู่ในทุกครั้งที่อาบน้ำ เพราะการใช้สบู่บ่อยเกินไปจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง กระตุ้นให้ผื่นคันมากขึ้น 

การเลือกใช้ผงซักฟอก ควรเลือกชนิดที่มีความระเคืองน้อย เช่น ผงซักฟอกสำหรับเสื้อผ้าเด็กทารก เป็นต้น  และควรซักล้างออกให้หมดด้วยการซักน้ำเปล่า  2 – 3  ครั้ง    เสื้อผ้าก็ควรเลือกใช้เสื้อผ้านุ่ม โปร่งสบาย  ผ้าแพร ผ้าฝ้าย และหลีกเลี่ยงผ้าขนสัตว์ 

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมาก ๆ   และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ทั้งทางผิวหนัง และการสูดดมหรือรับประทาน  ลดความเครียด ความวิตกกังวล    

หลีกเลี่ยงการเกาเมื่อมีอาการคัน  การรับประทานยาต้านฮีสตามีน จะช่วยลดอาการคันได้บ้างแต่จะได้ผลดีสำหรับบางคนเท่านั้น จึงควรพิจารณาใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้นเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างคียงจากยาและการใช้ยาโดยไม่จำเป็น

ในกรณีถ้ามีตุ่มหนองบริเวณที่เป็นตุ่มหรือมีผื่นแดงแสดงว่ามีการติดเชื้อแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย    

โรคผิวหนังอักเสบนี้มักเป็นเรื้อรังผื่นจะเป็น ๆ หาย ๆ ผู้ป่วยร้อยละ 60 จะเริ่มเป็นโรคก่อนอายุ ปี แต่จะมีอาการดีขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น ดังนั้น ผู้ปกครองจึงไม่ควรวิตกกังวล แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือปรึกษาแพทย์เมื่อมีปัญหา
               
เมื่อรู้สาเหตุและวิธีการรักษาโรคผิวหนังอักเสบและการปฏิบัติตัวแล้วก็ไม่ยากและสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ หากมีปัญหาผิดปกติจากที่แพทย์แนะนำ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางตามสถานพยาบาลใกล้ ๆ บ้าน

สำหรับคนที่ป้องกันไม่ให้เกิดเส้นเลือดขอดไม่ทัน เพราะอาการเส้นเลือดขอดได้มาเยือนแล้ว

เผย 5 เคล็ดลับในการรักษาเส้นเลือดขอด
    
 สำหรับคนที่ป้องกันไม่ให้เกิดเส้นเลือดขอดไม่ทัน เพราะอาการเส้นเลือดขอดได้มาเยือนแล้วก็ไม่ต้องตกใจเพราะมีการรักษาเส้นเลือดขอดให้หายได้หลากหลายวิธีเพียงแต่ต้องเลือกวิธีรักษาให้เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุดแต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

5  วิธีการรักษาเส้นเลือดขอด
1.  การฉีดน้ำเกลือสลายเส้นเลือดขอด 
เป็นวิธีการรักษาเส้นเลือดขอดที่ง่ายไม่ยุ่งยากโดยฉีดน้ำเกลือเข้าไปบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดเพื่อให้น้ำเกลือเข้าไปสลายการอุดตันหรือการคั่งของเลือดให้หลุดออกไปทำให้เส้นเลือดขอดขดตัวลง ซึ่งอาจต้องฉีดมากกว่า ครั้ง

2.  การใช้เลเซอร์
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมหลักการคือส่งพลังงานเข้าไปทำลายเส้นเลือดขอดซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและไม่เจ็บตัวมาก

3.  การเจาะด้วยเข็มเอาเลือดที่คั่งออก 
วิธีนี้จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กเจาะเข้าไปบริเวณเส้นเลือดขอดแล้วดูดเอาเลือดที่คั่งออกมาเพื่อให้เส้นเลือดดำบริเวณนั้นไหลเวียนสะดวกมากขึ้น

4.  ใส่ถุงน่องป้องกันเส้นเลือดขอด 
โดยตัวถุงน่องป้องกันเส้นเลือดขอดนี้จะช่วยพยุงกล้ามเนื้อตรงที่เป็นเส้นเลือดขอดซึ่งมักจะใส่หลังจากได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่น

5.  การผ่าตัดเอาเส้นเลือดขอดออก 
หากใช้วิธีรักษาเส้นเลือดขอดด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผลก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดเส้นเลือดขอดด้วยวิธีผ่าตัดเพื่อรักษาในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่และมีผลต่อการใช้ชีวิต

เมื่อทราบถึงวิธีการรักษาเส้นเลือดขอดแล้วก็ต้องดูแลตัวเองเพื่อเป็นการผลักโรคกวนใจนี้ให้อยู่ห่างตัวมากที่สุดเพราะบางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นเจ็บปวดจึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงดูแลตัวเองให้มากขึ้นก็จะช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอดได้

สิ่งสำคัญอย่างแรกในการลดแผลเป็นก็คือ ควรลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผล

วิธีการรักษาแผลเป็นให้หายเร็ว

เมื่อแผลหายเป็นปกติแล้ว มักจะทิ้งรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลและนูนขึ้นแต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้กระบวนการตามธรรมชาติจะช่วยในการรักษาแผลเป็นจางลงพร้อมทั้งแบนราบลงได้เองแต่ก็มีในบางกรณีที่รอยแผลเป็นอาจมีอาการคันและเจ็บปวดได้
    การป้องกันแผลเป็น
สิ่งสำคัญอย่างแรกในการลดแผลเป็นก็คือ ควรลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผล แต่ในกรณีที่เกิดแผลขึ้นแล้ว ต้องดูแลรักษาทำความสะอาดแผลอย่างเหมาะสมทั้งนี้เพื่อให้แผลหายเร็วที่สุด ยิ่งแผลหายเร็วเท่าใดโอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะน้อยและเบาบางลงเท่านั้น
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการหายของแผล ได้แก่ อายุ  การขาดสารอาหาร  การสูบบุหรี่  อุณหภูมิ  ความชื้น ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจน ซึ่งแผลจะหายได้ดีขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่อบอุ่นได้ดีกว่าอากาศเย็น และออกซิเจนจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเช่นกัน
    
สำหรับการดูแลรักษาแผลเป็นเล็ก ๆ น้อยๆ เบื้องต้น เริ่มต้นการล้างหรือเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยการปิดทำแผลโดยปราศจากเชื้อ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์หรือยาฆ่าเชื้อ เช่น โพรวิโดนไอโอดีน เพราะจะส่งผลเสียต่อการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายช้า

ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลทำให้แผลหายช้าคือ การสูบบุหรี่  การขาดวิตามินซี และขาดธาตุสังกะสี  ซึ่งควรรักษาระดับวิตามินซี และสังกะสีให้อยู่ในระดับปกติ   ในทางตรงกันข้ามการได้รับวิตามินซี และสังกะสีในขนาดสูงหรือปริมาณมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายก็ไม่ได้ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นแต่อย่างใด

ซึ่งการรักษาแผลเป็นให้ได้ผลมีสิ่งที่ควรรู้ดังนี้

วิธีการดูแลรักษาแผลเป็นให้เป็นแผลเป็นน้อยที่สุด

แผลเป็น คือรอยบริเวณผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากการได้รับบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลจากการการบาด   ถลอก ไฟไหม้  หรือน้ำร้อนลวก   แผลที่เกิดจากการผ่าตัด และ ที่เป็นปัญหาอย่างมากคือ แผลเป็นที่เกิดจากสิว  ซึ่งการรักษาแผลเป็นให้ได้ผลมีสิ่งที่ควรรู้ดังนี้ต้องรู้ถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดแผลเป็น
ตำแหน่งที่เป็นแผล เช่น ตามข้อพับ แผลจะหายยาก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ความลึกและขนาดของบาดแผล ยิ่งแผลลึก ก็มีโอกาสในการเป็นแผลเป็นยิ่งสูง
ระยะเวลาของการเป็นแผล
อายุและกรรมพันธุ์อายุมากโอกาสเกิดแผลเป็นยิ่งมาก
การรักษา 
การรักษาแผลเป็นมีวิธีมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การยิงเลเซอร์   การลอกผิว ซึ่งได้ผลดี แต่ราคาค่อนข้างสูง  ดังนั้นจึงขอเน้นไปที่การรักษาด้วยยาและตัวผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีขายในร้านขายยา
 
แผลเป็นชนิดที่มีลักษณะแผลนูน และเป็นปัญหากวนใจมากที่สุด ที่เกิดจากเซลล์มีการสร้างปริมาณคอนลาเจนมากผิดปกติ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณ ไหล่  แขน  ขา  โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากและคนผิวคล้ำจะเป็นมากกว่าคนผิวขาว

ส่วนความเชื่อที่เกี่ยวกับการกินอาหารโปรตีน  เช่น  ไข่ ทำให้เกิดเป็นแผลนูนนั้นในข้อมูลเบื้องต้นยังไม่พบความสัมพันธ์ว่าจะทำให้เกิดเป็นแผลเป็นได้  แต่สารอาหารที่พบความสัมพันธ์กับการเกิดแผลนูนนั้นคือตัวกรดไขมันที่พบในน้ำมันพืช และ ที่พบในไขมันจากสัตว์  ซึ่งหากกินมากเกินที่ร่างกายต้องการต่อวันก็มีผลทำให้เกิดแผลนูนได้ 

แสงแดดก็เป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามในการรักษาแผลเป็นบริเวณรอยแผลเป็นที่เกิดใหม่นั้น จะไวต่อการโดนแสงแดดซึ่งอาจจะทำให้รอยแดงมากขึ้นจนถึงคล้ำทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอกับผิวปกติหากรอยแผลอยู่นอกร่มผ้าแล้วควรสวมเสื้อผ้าปิดด้วย

หลายคนก็คงสงสัยและมีคำถามว่าการลบรอยสักด้วยเลเซอร์นั้นต้องทำกี่ครั้งในรอยสักจึงจะจาง

สิ่งควรรู้ในการลบรอยสักด้วยเลเซอร์
หลายคนก็คงสงสัยและมีคำถามว่าการลบรอยสักด้วยเลเซอร์นั้นต้องทำกี่ครั้งในรอยสักจึงจะจาง  แต่ทั้งนี้นั้นไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด บางคนเลเซอร์เพียงครั้งเดียวก็ทำให้จางได้ และในคน ๆ เดียวกันนั้นทำต่างบริเวณก็อาจจะให้ผลที่ต่างกันได้

มีปัจจัยที่อธิบายผลของการจางดังนี้คือ
1. ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการเก็บกินเม็ดสี ถ้าหากเม็ดเลือดขาวของคน ๆ นั้นทำงานได้ดี โอกาสจางก็จะมีมากกว่า

2. พลังงานที่ใช้ พบว่าการใช้พลังงานต่ำก็สามารถทำให้รอยสักจางลงได้แต่จำนวนครั้งที่จะทำให้ได้ผลเท่ากันมากกว่าการใช้พลังงานที่สูงกว่า
เกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากใช้เลเซอร์เพื่อลบรอยสัก
แพทย์จะทำการระงับปวดให้เพื่อลดอาการเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกเจ็บคล้ายกับโดนหนังยางดีดเบา ๆ ที่ผิว หลังจากเลเซอร์แล้วเม็ดสีจะเปลี่ยนเป็นสีขาวชั่วคราว สีที่เห็นทันที่นั้นไม่ใช่ผลลัพธ์ในทันที  จะต้องใช้ระยะเวลาให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเม็ดสีออกก่อน อาจมีสะเก็ดแผลเกิดขึ้นได้ การใช้ยาฆ่าเชื้อทาบริเวณที่เลเซอร์ รักษาความสะอาด ก็จะทำให้ลดภาวะแทรกซ้อนได้
เมื่อไหร่จึงจะทำเลเซอร์ซ้ำได้อีก
เนื้อเยื่อบริเวณที่เลเซอร์ไปแล้วจะใช้เวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ก็จะแข็งแรงเพียงพอที่จะเลเซอร์ซ้ำอีกครั้งได้ การเลเซอร์ก่อนระยะเวลาดังกล่าวอาจทำให้โอกาสเกิดแผลนูนได้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลดังกล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ในการใช้ประกอบการตัดสินใจลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์ได้เป็นอย่างดี

วิธีการสังเกตอาการของโรคสะเก็ดเงิน

วิธีการสังเกตอาการของโรคสะเก็ดเงิน 

โรคสะเก็ดเงินมีอาการและอาการแสดง ที่อวัยวะต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ผิวหนังจรดเท้า  รวมทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า

อาการผื่นผิวหนัง ของโรคสะเก็ดเงิน 
ผื่นผิวหนังอักเสบของโรคสะเก็ดเงิน สามารถเกิดที่ตำแหน่งใดของผิวหนังก็ได้ ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการและอาการแสดงให้เห็นอาการแตกต่างกันได้อย่างมาก ตำแหน่งของผิวหนังที่พบผื่นบ่อย ได้แก่บริเวณที่ทำให้เกิดการเสียดสี  เช่น ศอก เข่า แขน ขา ก้นกบ คอ และ ศีรษะ  เป็นต้น

ลักษณะสำคัญ
ลักษณะสำคัญของโรคสะเก็ดเงินคือ  ผิวหนังเป็นปื้นหนา มีสะเก็ดสีขาว ๆ คล้ายเงิน เมื่อแกะหรือเกาให้สะเก็ดหลุดออก ก็จะพบจุดเลือดออกอยู่บนผื่นผิวหนังที่อักเสบแดง การแกะ  หรือเกาจะทำให้ตุ่มหรือปื้นผิวหนังที่อักเสบขยาย วงกว้างออกหรือทำให้เกิดตุ่มผิวหนังอักเสบเกิดขึ้นใหม่ตามรอยเกา

ผู้ป่วยบางรายมีตุ่มหรือปื้นผิวหนังอักเสบเฉพาะที่ศอก เข่า แขน ขา เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่บางรายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณที่เป็นข้อพับ เช่น ขาหนีบ ร่องก้น ตุ่มหนองตามฝ่ามือฝ่าเท้าหรือเป็นตุ่มหนองเฉพาะที่ปลายนิ้วมือหรือเท้า
ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่เป็นรุนแรง จะเป็นผื่นผิวหนังอักเสบแดงทั่วทั้งตัว ผื่นแดงลอกเป็นสะเก็ดทำให้ผู้ป่วยเสียโปรตีนไปกับสะเก็ดผิวหนัง นอกจากนี้แล้วยังเสียความร้อนในร่างกายหรือน้ำทางผิวหนังไปมากกว่าปกติ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียหนาวสะท้านเพราะเสียความร้อนไปทางผิวหนังตลอดเวลา


ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินบางรายจะมีอาการข้ออักเสบร่วมด้วย ซึ่งโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงินเกิดพร้อม ๆ กับผื่นผิวหนังอักเสบ หรือมีอาการทางข้ออักเสบนำมาก่อนก็ได้ ข้อที่เกิดการอักเสบบ่อยคือ ส่วนปลายข้อนิ้วมือ   ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อกระดูกคอ และกระดูกสันหลังเป็นต้น

Thursday, July 7, 2016

ว่าด้วยเรื่องของการรักษาโรคหูดหงอนไก่ ต้องบอกไว้เลยว่าโรคชนิดนี้มีวิธีการรักษาที่หลากหลาย

โรคหูดหงอนไก่ การรักษาโดยแพทย์
           ว่าด้วยเรื่องของการรักษาโรคหูดหงอนไก่ ต้องบอกไว้เลยว่าโรคชนิดนี้มีวิธีการรักษาที่หลากหลายมากครับ ซึ่งการใช้วิธีการรักษาแต่ละอย่างนั้นจะใช้แตกต่างกันไปตามอาการของแต่ละท่านที่ปรากฏออกมา หากผู้ที่เป็นโรคชนิดนี้และอาการไม่หนักเท่าไรนัก วิธีการรักษาก็ค่อนข้างง่ายไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่ในบางคนที่อาการของโรคหนัก คือมีการแพร่กระจ่ายไปตามร่างกายมาก หรือร่องรอยของโรคมีขนาดใหญ่ คนกลุ่มนี้ก็จะต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างไปอีกระดับหนึ่งนั่นเอง
       ดังกล่าวนั้นการรักษาโรคหูดหงอนไก่โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถแยกวิธีการออกเป็น รูปแบบคือ ใช้ความร้อนจัด ใช้ความเย็นจัด และใช้ยาเคมีบำบัด โดยแต่ละวิธีจะเหมาะสมกับผู้ป่วยในกลุ่มต่างๆดังนี้
กลุ่มแรก กลุ่มที่เป็นโรคแบบไม่รุนแรงมากนัก กล่าวคือการแพร่กระจายของโรคไม่มากเท่าที่ควร รวมถึงขนาดของรอยโรคไม่ได้ใหญ่โตมาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้แพทย์นิยมรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งตัวยาที่นิยมใช้รักษาในปัจจุบันได้แก่ น้ำยา Podophyllin 25% ,น้ำยา Trichloroacetic acid 50-70% และ ยา Imiquimod 5%นั่นเองครับ แต่อย่างไรก็ดีสำหรับการรักษาวิธีนี้ ถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงกว่าวิธีอื่นๆ ที่ผู้ป่วยจะกลับมาเป็นโรคหูดหงอนไก่อีกครั้งหนึ่งครับ
กลุ่มสอง เป็นกลุ่มที่มีอาการของโรคค่อนข้างหนัก กล่าวคือมีการแพร่กระจายเป็นจำนวนมากหรือร่องรอยของโรคมีขนาดใหญ่นั่นเองครับ สำหรับการรักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะใช้วิธีการรักษาแบบ ใช้ความร้อนจัดโดยการจี้ด้วยไฟฟ้า หรือ การใช้ความเย็นจัดโดยการจี้ด้วยความเย็น นั่นเอง            วิธีการรักษาเหล่านี้จะมีความเจ็บปวดพอสมควร ดังนั้นผู้ที่เข้ารับการรักษามักจะได้รับยาชาเฉพาะที่ ก่อนรับการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดลงนั่นเองครับ

ชนิดต่างๆของโรคด่างขาว(2)

ชนิดต่างๆของโรคด่างขาว(2)
          ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในบทก่อน คือโรคด่างขาวชนิด Localized vitiligo ซึ่งเป็นชนิดแรกที่มีประเภทย่อยแบ่งออกเป็น ประเภทด้วยกัน นั่นคือ Focal vitiligoSegmental และ Mucosal ครับ โดยชนิดแรกนี้มีลักษณะเฉพาะที่เป็นข้อสังเกตคือ เป็นกลุ่มที่จะไม่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย แต่จะพบรอยด่างขาวเฉพาะบางจุดของร่างกายเท่านั้น ซึ่งแต่ประเภทของชนิดแรกนี้ก็จะพบในส่วนที่แตกต่างกันออกไปครับนอกจากโรคด่างขาวประเภท Localized vitiligo ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว โรคชนิดนี้ยังสามารถแบ่งออกได้อีก ประเภทด้วยกัน ดังนี้
2. Generalized vitiligo เป็นโรคด่างขาวอีกชนิดหนึ่ง ต่อเนื่องจากบทก่อนครับ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้เป็น 3ประเภท คือ
ประเภท1 Acrofacial สำหรับรอยด่างขาวประเภทนี้ ถือเป็นประเภทหนึ่งที่หากปรากฏในผู้ป่วยรายใด สามารถพยากรณ์ได้เลยว่า ผู้ป่วยรายนั้นเป็นโรคด่างขาวที่มีอาการโรคไม่ค่อยดีนัก เพราะด่างขาวชนิดนี้มักยากและไม่ตอบสนองต่อการรักษา และมีอาการดื้อยาอีกด้วยครับ ซึ่งด่างขาวชนิดนี้ จะเกิดขึ้นบริเวณ ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า และรอบปาก ของผู้ป่วยนั่นเอง
ประเภท2 Vulgaris เป็นชนิดที่มีกระกระจายของโรคแบบทั่วไปตามร่างกายของผู้ติดโรค และมักเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ครับ
ประเภท3 Mixed ถือเป็นชนิดที่มีลักษณะผสมระหว่าง ประเภทและประเภทรวมกัน
3. Universal vitiligo ถือเป็นโรคด่างขาวชนิดสุดท้ายของการแบ่งชนิดทางการแพทย์ครับ ลักษณะของชนิดนี้คือมันจะเกิดขึ้นทั้งตัวของผู้ป่วย ไม่เจาะจงเฉพาะจุด ซึ่งถือเป็นชนิดที่ผู้ติดโรคมีโอกาสเป็นมากที่สุดเลยก็ว่าได้ และมักเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่เป็นส่วนมาก นอกจากนี้แล้วโรคด่างขาวชนิดนี้ยังเกี่ยวข้องกับโรคอื่นอีก เช่นโรคต่อมไร้ท่อ จำพวกโรคต่อมไทรอยด์ หรือ โรคเบาหวาน นั่นเองครับ

ข้อสังเกตของการรักษาผิวแตกลาย ด้วยวิธีการฉีดคาร์บ็อกซี่เข้าไปในผิว

ฉีดคาร์บ็อกซี่
           การฉีดคาร์บ็อกซี่” ถือเป็นการรักษาด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยอีกอย่างหนึ่งครับ หลายท่านอาจเคยได้ยินวิธีการนี้มาบ้างแล้ว เนื่องจากการฉีดคาร์บ็อกซี่นี้ถูกนำมาใช้ในการสลายไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อีกด้วย จึงเรียกได้ว่าเป็นวิธีการรักษาที่สารพัดประโยชน์เลยก็ว่าได้
             สำหรับการรักษาผิวแตกลายด้วยวิธีการ ฉีดคาร์บ็อกซี่”  หมายถึง การที่แพทย์ผู้รักษาใช้ก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์ฉีดเข้าสู่ผิวหนังในบริเวณที่มีรอยแตกลายนั่นเองครับ ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณผิวหนังดังกล่าวแล้ว เจ้าคาร์บอนไดออกไซด์ที่ฉีดเข้าไป จะเข้าไปกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดในบริเวณใต้ผิวหนังส่วนนั้น ซึ่งผลจากการกระตุ้นเช่นว่านั้นจะทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวที่มีรอยแตกลาย ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นตึงและกระชับอย่างเห็นได้ชัด
             ข้อสังเกตของการรักษาผิวแตกลาย ด้วยวิธีการฉีดคาร์บ็อกซี่เข้าไปในผิว คือ วิธีการฉีดเพื่อรักษาปัญหารอยแตกลายนี้ จะฉีดเพียงตื้นๆผ่านร่องที่มีรอยแตกลายของผิวหนังเพื่อให้ก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปถึงเพียงชั้นหนังแท้เท่านั้น แต่หากเป็นการฉีดเพื่อสลายไขมัน แพทย์จะมีวิธีการฉีดที่แตกต่างกันไป นั่นคือ ก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกฉีดเข้าไปลึกว่าชั้นหนังแท้ โดยมันจะถูกฉีดเข้าไปถึงชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อทำการสลายไขมันส่วนเกินนั่นเองครับ
           อย่างไรก็ตาม การรักษาผิวแตกลายด้วยวิธีการนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้เพียงครั้งเดียวครับ การรักษาที่สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนนั้นต้องใช้เวลารักษาถึง 3-5 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ทำการรักษาจะนัดพบ โดยค่ารักษาในแต่ละครั้งตกอยู่ที่ 1,500-2,000 บาทโดยประมาณ

“เลเซอร์รอยแตกลาย” ถือเป็นวิธีการรักษาผิวแตกลายอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม

เลเซอร์รอยแตกลาย
          เลเซอร์รอยแตกลาย” ถือเป็นวิธีการรักษาผิวแตกลายอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยนี้ การรักษาโดยวิธีนี้ เป็นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย จึงมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพงกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นครับ แต่ผมเชื่อว่าหากหลายๆท่านได้ลองเลือกใช้วิธีการรักษาด้วยเลเซอร์ดูแล้ว ท่านต้องติดใจอย่างแน่นอน เพราะการรักษาแบบเลเซอร์นี้เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้รอยแตกลายบนผิวหนังหายไปอย่างรวดเร็ว และมันเหมาะมากสำหรับสาวๆที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวแตกลายให้หาย ภายในช่วงเวลาสั้นๆ
           สำหรับการรักษาด้วยวิธีเลเซอร์รอยแตกลายนี้ ได้มีการจัดกลุ่มแยกย่อยออกไปอีกครับ ซึ่งการเลเซอร์แต่ละกลุ่มนั้นก็จะมีวัตถุประสงค์ในการรักษาที่แตกต่างกันสามารถแบ่งได้ดังนั้น
1.วิธีการรักษาแบบ เลเซอร์เพื่อช่วยกระตุ้นผิวหนังให้สร้างคอลลาเจน
2.วิธีการรักษาแบบ “เลเซอร์สร้างผิวใหม่
3.วิธีการรักษาแบบ เลเซอร์รักษารอยแดงหรือบรรเทาความผิดปกติของเส้นเลือด
โดยการเลือกว่าจะใช้แบบไหนมารักษานั้น ทำได้โดยการพิจารณาว่าผู้ที่เป็นผิวแตกลาย มีร่องรอยการแตกลายบนผิวหนังมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว เพราะบางวิธีก็เหมาะกับการรักษารอยผิวแตกลายที่มีมานานแล้ว แต่บางวิธีเหมาะสำหรับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่านั้น เช่น หากท่านมีรอยแตกลายบนผิวหนังเป็นสีแดงแก่ หรือสีเข้ม ซึ่งบ่งบอกว่ารอยนั้นเป็นมานานแล้ว การรักษาโดยเลเซอร์ก็ควรเลือกการใช้เลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน” แต่หากท่านมีรอยผิวแตกลายเป็นสีชมพู ซึ่งบ่งบอกว่ารอยนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้น การรักษาก็ควรรักษาโดยใช้เลเซอร์แบบ รักษารอยแดงและรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด
           การรักษาโดยเลเซอร์จะไม่เห็นผลด้วยการทำเพียงครั้งเดียวนะครับ หากจะให้เห็นผลที่ชัดเจน ท่านควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง โดยระยะเวลาห่างกันครั้งละประมาณสองสัปดาห์ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ทำการรักษาของแต่ละคน  

เราไม่อาจทราบโดยแน่นอนได้ว่าโรคขนคุดจะเกิดขึ้นตอนไหน

การดูแลตัวเองของผู้ที่เป็นขนคุด
            เราไม่อาจทราบโดยแน่นอนได้ว่าโรคขนคุดจะเกิดขึ้นตอนไหนและเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผู้เป็นโรคชนิดนี้จะหายจากการเป็นขนคุดเมื่อใด ทั้งนี้เพราะปัจจัยการเกิดของมันมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพันธุกรรม สภาพผิวหนัง สภาพขน หรือ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของแต่ละคน เมื่อแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปในเรื่องเหล่านั้น จึงทำให้การเกิดโรคขนคุดในแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกันไปด้วย แต่สิ่งที่อาจบอกได้โดยชัดเจนโดยการสังเกต คือ โรคขนคุดนั้น โดยส่วนใหญ่คนที่สภาพผิวมีลักษณะแห้ง จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้มากกว่าคนที่มีผิวแบบอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดกับคนผิวแห้งเท่านั้นนะครับ เพราะในช่วงหน้าหนาวที่มีอากาศแห้ง มันยังสามารถเกิดกับคนที่มีสภาพผิวมัน หรือผิวผสมได้ด้วยเพราะคนเหล่านี้ก็สามารถมีผิวที่แห้งได้เหมือนกันในช่วงฤดูดังกล่าว เพียงแต่ว่าคนที่มีสภาพผิวเป็นคนผิวแห้งจะมีความเสี่ยงกว่าเท่านั้นเอง
            เมื่อทำความรู้จักกับโรคขนคุดกันพอสังเขปแล้ว หลายท่านมีข้อสงสัยว่าหากตัวเองต้องประสบกับโรคนี้แล้วจะมีวิธีการดูแลตัวเองกันอย่างไร เพื่อไม่ให้มันกำเริบหนักกว่าเก่า หรือบรรเทาอาการของโรคชนิดนี้กันอย่างไรดีดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าโรคขนคุดมีสามเหตุหลักๆมาจากสภาพผิวที่แห้ง ดังนั้นการบรรเทาอาการ หรือการดูแลตัวเองเมื่อต้องประสบกับโรคนี้คือการทำให้ผิวของท่านชุ่มชื้นนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลายชนิดเลยที่สามารถช่วยเพิ่มความชุมชื้นให้แก่ผิวได้ เช่น โลชันทาผิว หรือ ชนิดที่เป็นน้ำมันก็จะช่วยได้ครับ 

ปัจจัยผมหงอกก่อนวัย

ผมคือ ขนที่ขึ้นบนศีรษะนั่นเอง คนมีขนน้อยกว่าสัตว์ส่วนใหญ่ เพราะคนไม่ต้องการขนสำหรับให้ความอบอุ่นและป้องกันตนเองจากขวากหนามและคมเขี้ยวต่างๆผมจะมีผลในด้านความสวยงาม จึงจะเห็นได้ว่าปัญหาผมร่วง ผมขาด แตกปลาย ไม่มีน้ำหนัก และผมหงอกก่อนวัยล้วนเป็นอุปสรรคต่อความงาม และความเชื่อด้านบุคลิกภาพของคน เสริมแต่งผม ทั้งการตัด เป่า ย้อม ทำให้ธุรกิจด้านความงามเกี่ยวกับเส้นผมเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คุณทราบหรือไม่ว่าผมแต่ละเส้นจะงอกและร่วงหลุดไม่พร้อมกัน  ดังนั้นคนจึงไม่มีอาการ หัวล้าน” ขึ้นได้ง่ายๆ เมื่อผมเส้นใดงอกยาวจนถึงอายุขัยของมันแล้ว ก็จะร่วงหลุดไป วันหนึ่งๆคนเราจะมีเส้นผมร่วงหลุดประมาณ 50-300 เส้น (ถ้าเป็นผมเส้นดำหนาที่เห็นได้ชัดก็ให้ถือว่า มีผมร่วงประมาณวันละ 100 เส้นต่อวัน) หลังจากนั้นเซลล์สร้างผม (ที่ผมร่วงไป) จะหยุดพักผ่อนสักระยะหนึ่ง แล้วมันก็จะสร้างเส้นผมให้งอกออกมาอีก โดยทั่วไปเส้นผมจะงอกยาวออกมาประมาณ เซนติเมตรต่อเดือน ถ้าไว้ผมโดยไม่ตัดสัก 60 เดือน (ปี) จะมีผมหลายเส้น (เส้นที่อายุยืนเกิน ปี) ยาวลงไปถึงก้นได้ ในบางฤดู เช่น ฤดูร้อน ผมมักจะยาวเร็วกว่าฤดูหนาว
เนื่องจากการดูแลเส้นผมเป็นงานที่ละเอียดอ่อน มันจึงถูกกระทบกระเทือนด้วยสิ่งภายนอก (การดึงผม การรัดผม การดัดผม การยืดผม เป็นต้น) และสิ่งภายใน (ความเครียด การเจ็บป่วย เป็นต้น) ได้ง่าย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นผม ทำให้ผมร่วง ผมแห้ง ผมแตกปลาย ผมหงอกก่อนวัยได้ง่ายขึ้น  

เช่นเดียวกันกับรอบดวงตา การที่ขอบตาดำ ก็มาจากอาการที่กล้ามเนื้อรอบดวงตามีการใช้งานมาก

เจลประคบเย็น มีประโยชน์หลายอย่าง
เจลประคบเย็นที่ใช้สำหรับนักกีฬา ใช้สำหรับลดอาการบวม หรือ ลดอาการช้ำได้ทุกแห่ง อย่างการเล่นกีฬาเกือบทุกชนิดจะต้องมีการได้รับการกระแทก หรือ มีอาการกล้ามเนื้อที่อักเสบ จำเป็นต้องใช้เจลประคบเย็นในการช่วย ลดอาการบาดเจ็บเหล่านั้น ห้ามให้ประคบร้อนเด็ดขาด เพราะการประคบร้อนยิ่งทำให้อาการบวมเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกันกับรอบดวงตา การที่ขอบตาดำ ก็มาจากอาการที่กล้ามเนื้อรอบดวงตามีการใช้งานมาก และ ทำให้มีอาการเหนื่อยล้า รอบดวงตาจึงมีสีดำคล้ำจากกล้ามเนื้อ และ เส้นเลือดบริเวณนั้นมีอาการล้าจากการใช้งานหนัก สิ่งที่จะทำให้ดีขึ้นต้องเป็นความเย็น ห้ามใช้กระประคบร้อนโดยเด็ดขาด เพราะยิ่งร้อน ก็จะยิ่งดำ และอาจจะบวมขึ้นมาได้  ถ้าคุณเป็นนักกีฬาอยู่ก่อนแล้ว ก็น่าจะมีเจลเย็นแบบนี้อยู่ที่บ้าน ก็สามารถใช้เจลเย็นตัวนี้มาประคบรอบดวงตาได้เช่นกัน  ทำด้วยการประคบทั้งตอนเย็นก่อนเข้านอนสัก 15-20 นาที แล้วก็ตอนเช้า ๆ อีกสัก 10 นาที เพียงไม่นานนัก รอยขอบตาดำของคุณก็จะค่อย ๆ จางหายไป คุณสามารถทำได้บ่อยได้ตามต้องการ ยิ่งทำมากก็ จะยิ่งสงผลให้ดีขึ้น เรื่อย ๆ แต่ ไม่ควรจะทำครั้งละนาน ๆ เพราะการทำครั้งละนานๆ ไม่ได้ส่งผลดีมากนัก แต่จะยิ่งทำให้ดวงตาช้ำเพราะความเย็นได้ด้วย  
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำบ่อยๆ และ ใช้เวลาไม่นานจะดีที่สุด เป็นวิธีที่ง่ายและไม่เปลืองเงิน แล้วหลังจากนั้นจะตามด้วย ครีม หรือ เซลุ่มต่าง ๆ ก็ได้ทั้งนั้น

คงไม่มีใครอยากมีขอบตาดำ เหมือนหมีแพนด้า

ขอบตาดำอย่างไรแก้อย่างให้หาย
คงไม่มีใครอยากมีขอบตาดำ เหมือนหมีแพนด้า เพราะคงดูไม่สวยงาม แถมยังสื่อถึงการเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเอง เผลอ ๆ มีโรคพ่วงมาด้วยโดยไม่รู้ตัว หากไม่อยากมีขอบตาดำต้องลดละเลิกพฤติกรรมเหล่านี้
1.     ขยี้ตาแรง ๆ ทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาที่บอบบางได้รับการกระทบกระเทือน  ทำให้เป็นรอยฟกซ้ำ และเกิดแผลเป็นได้ง่าย
2.     นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอและเหมาะสม เป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายได้หยุดพัก และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้ร่างกายสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ผิวพรรณผ่องใส
3.    เครียด กังวล ไม่รู้จักปล่อยวาง ทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา ทำให้มีผลต่อการพักผ่อน และการผ่อนคลายของสมองที่มีผลต่อกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าและเสื่อมสภาพเร็ว
4.     สูบบุหรี่  ชา กาแฟ จัด ทำให้เส้นเลือดดำใต้ตาขยายตัว เห็นเป็นรอยคล้ำ ควรเลิกบุหรี่เด็ดขาดหากไม่อยากมีขอบตาดำคล้ำ ส่วนชาและกาแฟนั้นดื่มได้ แต่ถ้าขอบตาดำคล้ำมากควรลดลง
ที่สำคัญต้องเลือกผลิตภัณที่ช่วยขจัดของเสียรอบดวงตาได้หรือช่วยให้ระบบเลือดและน้ำเหลือบริเวณใต้ตาไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยลดขนาดของถุงใต้ตา มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ โดยควรศึกษาก่อนเลือกซื้อเลือกใช้ว่าผลิตภัณฑ์ใดเหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง พร้อมทั้งศึกษาวิธีใช้อย่างระมัดระวัง นอกจากนั้นควรทาครีมบำรุงให้ถูกวิธี เพราะหากทามากเกินไปอาจทำให้ตาบวมได้ หรืออาจส่งระคายเคืองดวงตาด้วย