Wednesday, August 17, 2016

โรคผิวหนังอักเสบมักมีสาเหตุมาจากความเครียด บาดแผล อาหารที่รับประทาน

วิธีรักษาโรคผิวหนังอักเสบได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

โรคผิวหนังอักเสบมักมีสาเหตุมาจากความเครียด  บาดแผล อาหารที่รับประทาน และภาวะร่างกายขาดน้ำ การใช้ยาทาภายนอกสามารถช่วยลดอาการอักเสบและอาการคันตามผิวหนังได้เพียงชั่วคราวแต่การใช้วิธีธรรมชาติในการรักษาอาการโรคผิวหนังอักเสบนับเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่สามารถปฏิบัติได้

เริ่มต้นด้วยการควบคุมอาหารเพราะอาการของโรคผิวหนังอักเสบอาจมีสาเหตุมาจากการแพ้อาหารจึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่อาจจะทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง เช่น   ไข่ หอย กุ้ง ปู ช็อกโกแลต ข้าวสาลี   นมวัว เนื้อสัตว์ที่มีไขมัน  และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ชา กาแฟ น้ำตาล  เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์   และอาหารประเภทสำเร็จรูป ซึ่งควรที่จะต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ โพแทสเซียมในปริมาณมาก ๆ  เช่น ธัญพืชขัดสีน้อย  หัวแครอท  และผักขม

ในระหว่างวันของแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย  2 ลิตรเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงต้องเพิ่มวิตามินให้กับตนเองด้วยเพราะคนเรานั้นเมื่อมีอาการผิวหนังอักเสบ นั่นหมายถึงร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอการรับประทานอาหารหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีเพิ่มจะช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นขึ้นได้

ใช้สมุนไพรก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีประโยชนต่อผิว เพราะการใช้สมุนไพรหรือน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการผิวหนังอักเสบและผดผื่นคันได้  

และสุดท้ายคือความผ่อนคลายเพื่อให้การรักษาโรคผิวหนังอักเสบหายได้เร็วขึ้นเพราะในสภาพแห่งความเป็นจริงแล้วสุขภาพผิวที่ดีเกิดขึ้นได้เมื่อมีสุขภาพจิตดีถ้าหากยิ่งรู้สึกเครียดอาการของผิวหนังอักเสบก็จะยิ่งมีเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงควรทำจิตใจให้ผ่อนคลายสบายเพื่อลดความอักเสบของผิวหนัง

เส้นเลือดขอดหมายถึงเส้นเลือดดำส่วนหนึ่งอยู่ใต้ผิวหนังเกิดมีการเสียความยืดหยุ่น

ความรู้เรื่องการรักษาเส้นเลือดขอดอย่างปลอดภัย

เส้นเลือดขอดหมายถึงเส้นเลือดดำส่วนหนึ่งอยู่ใต้ผิวหนังเกิดมีการเสียความยืดหยุ่น เกิดมีการเส้นเลือดขยายตัว ขึ้นทั้งด้านกว้างและด้านยาว ทำให้คดเคี้ยวไปมาแต่การรักษาเส้นเลือดขอดสามารถที่จะรักษาได้

อาการของคนที่เป็นเส้นเลือดขอด
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เป็นเส้นเลือดขอดจะพบแพทย์เพื่อรักษาเส้นเลือดขอดเพราะมีลักษณะที่ไม่สวยงามซึ่งอาการจริง ๆ มักจะไม่มีอาการอะไรเลยหรืออาจจะยืนนาน ๆ อาจมีความรู้สึกปวดถ้าเป็นมากขึ้นจะรู้สึกเจ็บที่ตัวเส้นเลือดขอดเองก็ได้ หรือเท้าจะบวมขึ้น ถ้าหากเป็นมาก ๆ อาจจะมีการอักเสบที่เส้นเลือดขอดบริเวณผิวหนัง

การรักษาเส้นเลือดขอด
 ในการรักษาเส้นเลือดขอดนี้หากไม่มีอาการและคนไข้มีอายุมากแล้วแพทย์จะแนะนำให้ยกขาให้สูงไว้และพันผ้ายืดก็เพียงพอหากคนไข้มีอาการนอกจากที่แนะนำแล้ว อาจจะทำการฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือดขอดหรือผ่าตัดเอาเส้นเลือดขอดออก

การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของการเป็นและขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นเลือดขอดซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วเส้นเลือดขอดที่เป็นไม่มากและไม่ได้เป็นบริเวณเส้นเลือดใหญ่ของเส้นเลือดดำก็จะใช้วิธีฉีดสารเข้าไปและร่างกายก็จะค่อย ๆ ดูดซึมเอาส่วนที่อุดตันออกไปบริเวณนั้นจะเพียงเหมือนผิวหนังปกติแต่ถ้าเส้นขนาดใหญ่มากก็นิยมใช้วิธีการผ่าตัด

เส้นเลือดขอดมีวิธีการป้องกันไม่ให้เป็นได้โดยการหลีกเลี่ยงการยืนนาน ๆ นอกจากป้องกันไม่ให้เกิดเพื่อเป็นการดูแลเรียวขาให้สวยงามได้แล้ว ยังไม่ต้องเป็นกังวลว่าเมื่อเป็นจนถึงขั้นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเส้นเลือดขอดออกแล้วจะเกิดเป็นแผลเป็นตามมาหรือไม่  ดังนั้นป้องกันเอาไว้จะดีกว่าการแก้ไขในเรื่องราวของการรักษาเส้นเลือดขอด

การลบรอยสักด้วยการทำเลเซอร์โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีค่าใช้จ่ายสูง

ลบรอยสักโดยวิธีธรรมชาติด้วย  5  วัสดุใกล้ตัว

การลบรอยสักด้วยการทำเลเซอร์โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีค่าใช้จ่ายสูง จึงมีวิธีการธรรมชาติที่ทำมาแต่ดั้งเดิม โดยใช้วัสดุที่หาได้ใกล้ตัวเพื่อลบรอยสัก คือ

1. การลบรอยสักด้วยยางของมะละกอ
นำยางของก้านมะละกอทาตามรอยสักที่ต้องการจะลบ ยางมะละกอจะทำให้ผิวหนังอ่อนตัว และภายในไม่กี่วันผิวหนังบริเวณรอยสักจะหลุดออกเป็นแผ่น ๆ ซึ่งถ้าหากหมึกสักที่ต้องการลบอยู่ไม่ลึกจนเกินไปก็จะสามารถลบรอยสักได้ วิธีนี้ต้องดูแลเรื่องความสะอาดให้ดีและควรล้างรอยแผลอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าแผลจะแห้งสนิท

2.  ยางมะม่วงหิมพานต์
นำยางของเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทาตามรอยสักที่ต้องการลบ ฤทธิ์ของยางมะม่วงหิมพานต์จะทำให้ผิวหนังแสบร้อนจนหลุดออกมาเมื่อรอยสักหลุดออกแล้ว ก็ต้องล้างแผลเป็นประจำจนกว่าแผลจะหายสนิท

3.  หญ้ากระดูกอึ่ง
ซึ่งหญ้าชนิดนี้ ปกติแล้ว จะพบบริเวณตามพื้นดิน รวมทั้งต้นไม้สูงให้ใช้มีดกรีดเอายางที่เป็นสีขาวออกมา แล้วทาบริเวณรอยสักจากนั้นนำเข็มที่ทำความสะอาดอย่างดีแล้วค่อย ๆ เจาะไปตามรอยสักเพื่อให้ยางของหญ้า ซึมเข้าไปภายในรอยสักทิ้งไว้จนแห้ง

4. การลบรอยสักด้วยด่างทับทิม
ขูดผิวหนังบริเวณรอบสักแล้วโปะด่างทับทิมลงไปซึ่งจะมีอาการแสบมากแต่ก็มีหลายคนที่ยอมทนแสบทำด้วยวิธีนี้

5.  ลบรอยสักด้วยเตารีด 
ตอนสักว่าเจ็บมากแล้วการลบรอยสักยิ่งเจ็บมากกว่าหลายเท่าการลบรอยสักด้วยเตารีดนี้เหมาะสำหรับรอยสักเล็ก ๆ เริ่มต้นด้วยการเอาปลายของเตารีดร้อน ๆ แตะที่ผิวหนังส่วนที่ต้องการจะลบรอยสัก แล้วลอกออกมาเป็นแผ่น รอยสักก็จะหลุดออก แต่หลังจากนั้นก็เป็นรอยแผลเป็น

การลบรอยสักสมัยก่อนมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีซึ่งนอกจากจะเจ็บตัวมาก

วิธีการลบรอยสักที่สามารถทำได้ง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ

เมื่อสักได้ก็ลบได้"รอยสัก" เป็นการสร้างสีสันประดับให้กับผู้ที่ชอบรอยสักเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นรอยสารพัดสัตว์ หรือจะเป็นการสลักชื่อคนรักบนเรือนร่าง หรือแม้แต่การสักคิ้วถาวรก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการสัก และเมื่ออยากจะลบรอยสักออกไปในปัจจุบันนี้สามารถลบได้อย่างง่ายดาย

การลบรอยสักสมัยก่อนมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีซึ่งนอกจากจะเจ็บตัวมากแล้วยังเกิดเป็นแผลเป็น และลบสีได้ไม่หมดด้วย
แต่ในปัจจุบันการลบรอยสัก สามารถทำได้โดยง่ายและมีประสิทธิภาพขึ้นลดโอกาสในการเป็นแผลเป็นและไม่ค่อยเจ็บ วิธีการดังกล่าวคือ "การลบรอยสักด้วยเลเซอร์”

หลักการของการใช้เลเซอร์ลบรอยสัก 
เหล่าเม็ดสีที่อยู่ในหนังแท้จะดูดซึมเอาแสงเลเซอร์ไว้ ทำให้เกิดการแตกตัวออกกลายเป็นเม็ดเล็ก ๆ ที่ร่างกายสามารถกำจัดออกไปได้เอง

วิธีการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ 
ก่อนที่แพทย์จะทำการยิงเลเซอร์เพื่อลบรอยสักนั้นแพทย์จะปิดยาชาที่ผิวหนังบริเวณที่จะยิงเลเซอร์ให้ก่อนเพื่อลดอาการเจ็บ หลังจากที่ยิงเสร็จอาจมีเลือดออกซึมๆ ได้ แพทย์จะทำการป้ายยา และจะปิดพลาสเตอร์ใสกันน้ำให้

ข้อปฏิบัติหลังจากยิงเลเซอร์
ไม่ควรให้แผลโดนน้ำอย่างน้อย 5 - 7 วัน หรือจนกว่าแผลจะแห้ง การยิงเลเซอร์ลบรอยสัก ไม่ใช่ว่าจะยิงแค่ครั้งเดียวจะออกได้หมด แต่จะต้องยิงกี่ครั้งนั้นขึ้นอยู่กับคนที่สักเลเซอร์ว่าสักแบบไหน ใช้สีชนิดไหนสัก และสีมีกี่สี

ถ้าหากมีรอยสักแล้วต้องการลบรอยสักออกควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่ชำนาญ ไม่ควรรักษาเอง หรือรักษากับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ที่สำคัญควรคิดให้ดีสักนิดก่อนที่จะคิด "สัก"

รอยแผลเป็นต่าง ๆ มักจะสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่มีรอยแผลเป็นอยู่เสมอ

4  วิธีในการรักษารอยแผลเป็นจากการผ่าตัด

รอยแผลเป็นต่าง ๆ มักจะสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่มีรอยแผลเป็นอยู่เสมอ ไม่ว่าแผลนั้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตามล้วนแล้วแต่ทำให้หมดความมั่นใจไปซึ่งในปัจจุบันมีวิธีดี ๆ หลากหลายรูปแบบที่เป็นตัวช่วยในการดูแลแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นจากการผ่าตัดซึ่งสามารถทำการรักษาหรือตกแต่งให้แผลลดน้อยลงหรือดูดีได้จนเกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วย  4  วิธีการดังต่อไปนี้

1.  การรักษาโดยการใช้ยาและแผ่นซิลิโคนเจล 
เป็นการรักษาเบื้องต้นก่อนการดำเนินการรักษาขั้นอื่น ๆ เนื่องจากแผลผ่าตัดของบางคนมีขนาดและร่องรอยขนาดเล็กที่สามารถรักษาได้ด้วย การทายาแก้รอยแผลเป็นหรือแปะแผ่นซิลิโคนเจลที่มีส่วนผสมของยาสเตรอยด์ วิตามินอี วิตามินเอ ลงบนรอยแผลเป็นซึ่งจะช่วยทำให้ยุบลงได้

2.  การรักษาด้วยการฉีดด้วยสเตรอยด์
เป็นการช่วยลดการนูน อักเสบ บวมของรอยให้นิ่มหรือยุบตัวลงด้วยวิธีการฉีดตัวยาสเตรอยด์เข้าไปบริเวณแผลเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังในบริเวณแผลและช่วยลดความคัน ในบริเวณปากแผลได้

3.  การรักษาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม
วิธีนี้จะเป็นขั้นตอนที่ช่วยตกแต่งแผลเดิมให้ดีขึ้นด้วยการผ่าตัดเย็บแผลใหม่ลงไปแทน เสมือนเป็นการปรับลดขนาดแผลให้เล็กลงอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะทำควบคู่ไปกับการฉีดสเตรอยด์และทายาเพื่อช่วยให้แผลหายได้รวดเร็วขึ้น

4.  รักษาด้วยการทำเลเซอร์
การทำเลเซอร์ลำแสงต่าง ๆ นี้จะช่วยลบและตกแต่งชั้นผิวที่นูนให้ดูเรียบเนียนขึ้น ซึ่งต้องให้แพทย์พิจารณาตามความเหมาะสมของแผลเป็น

อย่างไรก็ดีหากเลือกวิธีการรักษารอยแผลเป็นจะด้วยวิธีใดก็ตามเมื่อแผลหายดีแล้ว ก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลผิวหนังบริเวณแผลไม่ให้เกิดรอยแผลซ้ำขึ้นมาอีก

อาการเริ่มต้นของโรคสะเก็ดเงิน จะมีอาการที่เริ่มต้นจากการมีลักษณะเป็นขุย

ความรู้เรื่องอาการเริ่มต้นของโรคสะเก็ดเงิน 
อาการเริ่มต้นของโรคสะเก็ดเงิน  จะมีอาการที่เริ่มต้นจากการมีลักษณะเป็นขุยบนหนังศีรษะ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากรังแคโดยทั่วไปที่ผิวหนังตอนเริ่มกำเริบใหม่ ๆ จะเป็นตุ่มแดงมีขอบเขตชัดเจน และมีขุยสีขาว (สีเงิน) อยู่ที่ผิว ระยะต่อมาตุ่มจะค่อย ๆขยายออกจนกลายเป็นปื้นใหญ่และหนาตัวขึ้นเป็นสะเก็ดสีเงินด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกว่าโรคสะเก็ดเงิน

สะเก็ดที่ว่านี้จะร่วงเวลาถอดเสื้อหรือเมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหวเดินไป  เดินมา หรือร่วงอยู่ตามเก้าอี้ ที่นอน ถ้าหากขูดเอาสะเก็ดออกจะมีรอยเลือดออกซิบๆ ลักษณะอาการที่แสดงออกในโรคของผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะปื้นหนาซึ่งเป็นเรื้อรัง ขึ้นๆ ยุบๆอยู่ตลอดเวลา ไม่หายขาด จึงเรียกลักษณะโรคที่เป็นเช่นนี้ว่า Chronic Plaque type psoriasis แต่ก็อาจพบลักษณะโรคในแบบอื่นได้บ้าง ได้แก่  พบว่ามีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งตัว

ความผิดปกติของตุ่มเล็ก ๆ ดังกล่าว อาจเกิดขึ้นได้ที่ผิวหนังในทุกส่วนของร่างกายแต่โดยส่วนมากแล้วอาการเริ่มต้นของโรคสะเก็ดเงินมักจะพบที่หนังศีรษะ และผิวหนังส่วนที่เป็นปุ่มนูนของกระดูก เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ก้นกบ หน้าแข้ง เป็นต้น และโรคนี้ยังชอบขึ้นที่เล็บ ทำให้เกิดอาการได้หลายลักษณะเช่น เล็บเป็นหลุม ตัวเล็บขรุขระ เล็บแยกตัวออกจากผิวหนัง   ผิวใต้เล็บหนา  ซึ่งมักเกิดร่วมกับข้ออักเสบและเนื้อเยื่อขอบเล็บอักเสบ(Paronychia)

บางครั้งอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราร่วมด้วย และอาจทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคเชื้อกลากที่เล็บโรคเชื้อราแคนดิด้าที่เล็บนั้นพบได้ประมาณร้อยละ ของผู้ป่วยจะมีการอักเสบของข้อร่วมด้วย โดยมักจะพบที่ข้อนิ้วมือและนิ้วเท้าซึ่งผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบร่วมด้วยมักมีอาการทางผิวหนังรุนแรงกว่าปกติ

Sunday, August 14, 2016

โรคหูดหงอนไก่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีผลข้างเคียงเช่นกัน และเมื่อพูดถึงความรุนแรง

บทที่โรคหูดหงอนไก่กับผลข้างเคียง
          โรคติดต่อแทบทุกชนิดมักมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านั้นจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละโรคนั่นเองครับโรคหูดหงอนไก่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีผลข้างเคียงเช่นกัน และเมื่อพูดถึงความรุนแรงของผลข้างเคียงของโรคชนิดนี้ถือว่าเป็นโรคติดต่อที่มีผลข้างเคียงทั้งแบบไม่รุนแรง และรุนแรงผสมกันไป ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้ครับ
ประการแรก ผลข้างเคียงของโรคหูดหงอนไก่อย่างแรก ถือว่าไม่มีความรุนแรงเท่าไรนัก แต่จะส่งผลต่อความมั่นใจและรูปลักษณ์ของผู้ที่เป็นโรคเสียมากกว่าครับ นั่นก็เพราะว่าโรคชนิดนี้มีลักษณะรอยโรคเป็นตุ่มขึ้นตามอวัยวะต่างๆของร่างกายในส่วนที่เป็น เนื้อเยื่อเมือก” ซึ่งในบางท่านมีการแพร่กระจายของโรคที่หนัก ทำให้มีเยอะและเป็นรอยโรคที่ใหญ่ ด้วยเหตุผลนี้เอง อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเองได้ครับ
ประการสอง เนื่องจากโรคหูดหงอนไก่เป็นโรคที่มีต้นตอมาจากเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อ HPV แล้วเป็นโรคหูดหงอนไก่ จึงมีความเสี่ยงในระดับหนึ่งที่จะเป็นโรคมะเร็งอีกด้วย โดยเฉพาะหากผู้ใดติดเชื้อ HPV สายพันธ์ที่ 16 หรือ 18 ด้วยแล้ว นอกจากท่านจะเป็นโรคนี้แล้วผลข้างเคียงของมันอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์ และมะเร็งทวารหนักได้อีกด้วยครับ ดังนั้นหากท่านพบว่าเป็นโรคหูดหงอนไก่ แพทย์ส่วนใหญ่จะตรวจหามะเร็งไปด้วยในคราวเดียวกัน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยนั่นเองครับ
ประการที่สาม เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากรอยโรค หรือตุ่มที่เรียกว่าหูดหงอนไก่นั่นเองครับ นั่นก็คือ บริเวณดังกล่าวอาจมีอาการคัน หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้หากโรคชนิดนี้เกิดในมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ ลูกที่ออกมาในขณะที่หูดบริเวณอวัยวะเพศยังไม่หาย เลือดจากหูดในบริเวณนั้นอาจทำให้เด็กติดโรคหูดหงอนไก่ ได้เช่นกันครับ

โรคด่างขาวเป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีรอยโรคปรากฏค่อนข้างชัดเจน ทำให้การแยกแยะโรคชนิดนี้ออกจากโรคชนิดอื่นนั้นเป็นไปโดยไม่ยากเย็นเท่าไรนัก

บทที่แพทย์วินิจฉัยโรคชนิดนี้ได้อย่างไร
         โรคด่างขาวเป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีรอยโรคปรากฏค่อนข้างชัดเจน ทำให้การแยกแยะโรคชนิดนี้ออกจากโรคชนิดอื่นนั้นเป็นไปโดยไม่ยากเย็นเท่าไรนัก ซึ่งหากท่านผู้อ่านพอจะรู้ข้อมูลหรือลักษณะของโรคชนิดนี้เพียงคร่าวๆ ผมเชื่อได้ว่าท่านสามารถรู้ได้ว่าคนที่ติดโรคด่างขาวจะมีลักษณะรอยโรคเป็นอย่างไร และกรณีที่โรคชนิดนี้เกิดกับตัวท่านเองแล้ว การสังเกตรอยโรคแล้วรู้ได้ว่าตนเองเป็นโรคด่างขาวนั้น จะถือเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เป็นโรคเป็นอย่างมาก เพราะมันจะทำให้ผู้นั้นเข้าพบแพทย์และรับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีนั่นเองครับ
      สำหรับวิธีการ ในการวินิจฉัยของแพทย์ ที่ใช้ในการตรวจสอบผู้ป่วยว่าเป็นโรคด่างขาวหรือไม่นั้น สามารถกระทำได้ในสองรูปแบบด้วยกันครับ อย่างแรกคือการวินิจฉัยด้วยการสังเกตจากรอยโรคที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของผู้ป่วย และวิธีที่สองจะใช้วิธีการตรวจเนื้อเยื่อ หรือเลือดของผู้ป่วย โดยใช้ห้องปฏิบัติการ
วิธีแรก วินิจฉัยด้วยการสังเกตรอยโรค” เนื่องจากโรคด่างขาวมีรอยโรคที่ค่อยข้างชัดเจน คือผู้ที่เป็นโรคชนิดนี้จะมีผิวหนังเป็นรอยด่างสีขาว ลักษณะเป็นวงรีหรือวงกลม โดยรอยด่างเหล่านั้นอาจเป็นวงขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้นหากแพทย์สังเกตเห็นลักษณะเหล่านี้ ก็อาจวินิจฉัยได้แล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคด่างขาว


วิธีที่สอง วินิจฉัยโดยการตรวจเนื้อเยื่อ หรือเลือดของผู้ป่วย วิธีนี้จะถูกนำมาใช้เมื่อแพทย์เกิดความไม่แน่ใจว่ารอยโรคนั้นใช่รอยที่เกิดจากโรคด่างขาวหรือไม่ เพราะโรคชนิดนี้มีรอยโรคที่คล้ายกับโรคบางชนิดเช่น เกลื้อน ปานขาว กลากน้ำนม หรือรอยด่างเหล่านั้นอาจเกิดจากการที่เคยเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่นๆมาก่อน

แม้โรคขนคุดจะสามารถหายเองได้โดยอาศัยเวลา

บทที่ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่
                 โรคขนคุดเป็นโรคหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นเองได้ โดยมีปัจจัยเรื่องผิวแห้งและสภาพอากาศหนาวเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง และส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรมของบุคคล ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้มีผลทำให้แต่ละคนเป็นโรคขนคุดหนักเบาแต่ต่างกันไปครับ ซึ่งวิธีการเบื้องต้นที่จะสามารถป้องกันโรคนี้ได้ คือ การทำให้ผิวหนังของท่านชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีหลายวิธีที่จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังได้ เช่น ทาโลชันเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง หรือในช่วงใดที่มีอากาศหนาวก็ขอให้ท่านงดอาบน้ำอุ่น เพราะการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งและอาจทำให้ท่านเป็นโรคขนคุดได้ หากท่านใดที่เป็นอยู่แล้ว การอาบน้ำอุ่นจะมีส่วนให้โรคกำเริบหนักขึ้นได้ครับ
              แม้โรคขนคุดจะสามารถหายเองได้โดยอาศัยเวลา กล่าวคือเมื่อท่านที่เป็นโรคนี้อายุมากขึ้น โรคก็จะบรรเทาลงไปเรื่อยๆ จนบางคนก็หายไปในที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปนะครับ เพราะยังมีบางท่านที่เป็นโรคนี้มาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่หายเสียทีซึ่งก็มาจากสาเหตุหลายประการครับสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรอเวลาให้รักษามันเองตามธรรมชาติ เพราะเกิดความวิตกกังวล ท่านก็สามารถไปพบแพทย์ได้ทุกเมื่อครับ การรักษาควรได้รับการดูแลจากแพทย์รักษาโรคผิวหนังโดยตรง หากท่านมีตุ่มขึ้นบริเวณผิวหนังและรู้สึกคันหรืออักเสบ รวมถึงตัวท่านเองเป็นคนผิวแห้งด้วยแล้ว ก็สามารถตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า ท่านอาจเป็นโรคขนกุดอย่างแน่นอน สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการเข้าพบแพทย์เมื่อมีการอาการดังกล่าว เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไปครับ

ผมหงอกนั้นหากเป็นผู้ที่มีบรรพบุรุษที่มียืนผมหงอกอยู่แล้ว ก็จะมีโอกาสสูงที่จะมีผมหงอก่อนวัยตามพันธุกรรม

ผมหงอกก่อนวัยและการรักษา
ผมหงอกนั้นหากเป็นผู้ที่มีบรรพบุรุษที่มียืนผมหงอกอยู่แล้ว ก็จะมีโอกาสสูงที่จะมีผมหงอก่อนวัยตามพันธุกรรม ซึ่งสำหรับคนปกติที่มีปริมาณผมขาวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 ตามอายุทุก 10 ปี ที่เพิ่มขึ้น แต่หากมีภาวะขาดสารอาหารก็จะทำให้ผมหงอกเร็วขึ้น เพราะรากผมจะไม่แข็งแรง หรือหากเป็นผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย สูบบุหรี่หรือมีภาวะโรคกระดูกพรุนหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ  ก็จะเพิ่มโอกาสให้ผมหงอกเร็วกว่าปกติด้วย เมื่อรู้สาเหตุของการเกิดผมหงอกแล้ว ก็ไม่ต้องเครียดเพราะมีวิธีรักษาได้ ซึ่งก็ไม่พ้นวิธีโดยทั่วไปที่ต้องรักษาตั้งต้นเหตุ
สำหรับวิธีการรักษาผมหงอกโดยทั่วไป มีดังนี้
  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เนื่องจากยังไม่มียาใดที่สามารถฟื้นคืนเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานตามปกติได้ ฉะนั้นใช้วิธีธรรมชาติเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. ทานผักเป็นประจำ เพราะในผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ จะสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจ และที่สำคัญชะลอความแก่ได้ด้วย
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายเส้นผม อย่างแชมพู ที่ได้มาตรฐาน ผ่านเลขที่ใบรับแจ้งแล้ว
4. การย้อมสีผม รวดเร็วจริง แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่สำคัญสาวๆ ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและไม่ทำร้ายเส้นผมของเรานะคะ
            เป็นที่รู้ ๆ กันว่า อาการผมโรคไม่ใช่โรคภัยร้ายแรงที่มีผลต่อสุขภาพร่างกาย แต่มีผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจ หากไม่อยากให้มีปัญหาผมหงอกก่อนวัยมารบกวนใจก็ต้องป้องกันและรีบรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลาย 

อาการขอบตาดำนอกจากจะทำให้ดูไม่สดชื่น และเป็นศัตรูของความงามแล้ว

ทำอย่างไรเมื่อขอบตาดำ 
อาการขอบตาดำนอกจากจะทำให้ดูไม่สดชื่น และเป็นศัตรูของความงามแล้ว บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัยอย่างอื่นด้วย ลองมาดูวิธีรักษาขอบตาดำด้วยวิธีบ้าน ๆ ลองดูบ้าง โดยเริ่มจากการรับประทานผักผลไม้เยอะ ๆ เพราะผักผลไม้เป็นยาดีที่สามารถรักษาร่างกายได้ทุกอย่าง ทั้งระบบอวัยวะภายใน ผิวพรรณ และเส้นผม  หรือจะนำลูกแพร์มาฝานบาง ๆ แล้ววางใต้ดวงตา ในลูกแพรนั้นอุดมไปด้วยแอนตี้อ็อกซิแดนท์ และวิตามินซี ที่ช่วยสมานและฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดี
หรือจะใช้มันฝรั่งฝานบาง ๆ มาวางไว้ใต้ดวงตาวิธีนี้ได้รับความนิยมจากชาวตะวันตก ใช้แทนแตงกวากับถุงชา หรือจะใช้นำมันอัลมอนด์ ก็เป็นวิธีรักษาขอบตาดำที่ข่ายและได้ผลดีนัก วิธีทำก็เพียงนำน้ำมันอัลมอนด์มาทารอบดวงตาทุกเช้าหรือเย็น ทิ้งไว้สักหน่อย แล้วล้างออก หรือวันหยุดไม่ได้ไปไหนก็ทาไว้อย่างนั้นทั้งวันเลยก็ได้ เพื่อให้ได้ผลควรทำอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังสามารถใช้ของใช้ใกล้ตัว อย่างผ้าขนหนูผืนเล็ก หรือใช้สำลีชุบน้ำเย็น และบีบให้แห้ง (อย่าแห้งมาก) นำมาวางบนตา พอหายเย็นแล้วก็ชุบน้ำใหม่และประคบอีก หรือจะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเจี๊ยบประคบก็ได้ จะช่วยทำให้ตาหายเมื่อย และลดความคล้ำลงได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวก และความสามารถในการจัดหาตามความเหมาะสมของผู้ใช้เอง ว่าพื้นฐานของผิวสามารถตอบสนองกับผลไม้หรือของใช้แบบไหนได้ดี ที่สำคัญต้องทำอย่างต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควรจนกว่าจะเห็นผล

วิธีการเก็บรักษาครีมทาปากชมพูที่ถูกต้อง

วิธีการเก็บรักษาครีมทาปากชมพูที่ถูกต้อง
การเก็บรักษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าเก็บอย่างถูกวิธีจะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่เสื่อมประสิทธิภาพ และช่วยยืดอายุได้อีกด้วย ดังนั้นในวันนี้จึงมีวิธีการเก็บรักษาครีมทาปากชมพูที่ถูกต้องมาฝากสาวๆ ทุกคนค่ะ
ปิดฝาให้แน่นสนิท : หลังจากใช้งานผลิตภัณฑ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณควรปิดฝาครีมทาปกาชมพูให้แน่น เพราะหากเผลอปิดไม่แน่น หรือเปิดทิ้งไว้รอให้ทาเสร็จแล้วค่อยกลับมาปิด อาจทำให้มีเศษผง หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ตกลงไปปะปนกับผลิตภัณฑ์ ส่งผลทำให้เนื้อครีมอาจละลายหรือแตกตัวได้
         อุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญ : ครีมทาปากชมพูควรเก็บไว้ในพื้นทื่ที่ไม่โดนแสงแดด และอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป อุณหภูมิโดยเฉลื่ยประมาณ 25 องศาเซลเซียล ถ้าต้องเก็บไว้ในรถหรือมีความจำเป็นต้องเดินทางบ่อยๆ ควรเก็บรักษาไว้ในกระเป๋าที่ปิดมิดชิด
            ใช้นิ้วมืออยากระวัง : นิ้วมือนอกจากเป็นสิ่งสำคัญในการทาครีมแล้ว มันยังเป็นตัวการที่ทำให้ครีมเสื่อมผลิตภัณฑ์ได้ เพราะหากนิ้วมื้อสกปรกก็จะทำให้เชื้อโรค และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดอยู่ตกลงไปในเนื้อครีมได้ ดังนั้นถ้าผลิตภัณฑ์ครีมทาปากชมพูที่ซื้อมามีไม้พาย หรือช้อนเล็กๆ ควรใช้ตักครีมแทนดีกว่า แต่ถ้าไม่มีให้ทำความสะอาดนิ้วมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนที่จะปาดเนื้อครีมขึ้นมาใช้
            แช่ตู้เย็นเพิ่มประสิทธิภาพ หากไม่ได้ใช้ป็นเวลานาน ควรนำครีมทาปากชมพูไปแช่ตู้เย็น เพราะโดยปกติผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 ปี
หลังใช้ครีมทาปากชมพูเสร็จ ควรเก็บรักษาให้ถูกต้องทุกครั้งนะคะ